ในคริสตจักรมีหลายสถานการณ์ที่เรียกร้องให้ผู้นำและผู้ตามหันมาเผชิญหน้ากันเพื่อแก้ไขปรับปรุงสถานการณ์หนึ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดข้ึนในคริสตจักรเลยแต่ได้เกิดข้ึนมาเยอะพอสมควร นั่นก็คือการแตกแยกทั้งภายในและระหว่างคริสตจักร
ที่ผ่านมาในเมืองไทยเราเห็นตัวอย่างมากมายที่คริสตจักรเกิดใหม่เป็นผลมาจากการแตกแยก แม้ปัญหานี้จะเป็นปัญหาใหญ่ แต่บ่อยครั้งเรากลับเห็นถึงการขาดความรู้ความเข้าใจและทักษะเพียงพอที่จะเผชิญหน้าและแก้ไขสถานการณ์แบบนี้ด้วยกัน หลายครั้งเราเห็นการแตกแยกที่ปราศจากการแก้ไขความขัดแย้งอย่างสิ้นเชิง โดยต่างฝ่ายต่างใช้ข้ออ้างบางอย่างมาแสดงว่าตนเป็นฝ่ายถูก เช่น เรากำลังเข้าสู่ฤดูกาลใหม่ หรือ คริสตจักรเราได้ถูกเลือกจากพระเจ้าผ่านคำเผยฯ เป็นต้น
ทุกการแตกแยกล้วนนำสู่ความเจ็บปวดที่ไม่มีใครอยากได้ ... วิธีเยียวยานอกเหนือกจากขบวนการแก้ไขความขัดแย้งแล้ว การป้องกันก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วย การป้องกันโดยมาทำความเข้าใจว่าอะไรทำให้เกิดความแตกแยกแล้วมาหาทางกันไม่ให้มันเกิดข้ึน ทั่วไปเราพบว่ามีเหตุผลหลายประการที่ก่อให้เกิดการแตกแยก แต่จากพระคัมภีร์หนังสือ 1 โครินธ์ บทที่ 1 จะพบถึงเหตุผลหนึ่งที่เป็นการนำความแตก แยกเข้ามาในคริสตจักรอย่างแนบเนียน ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการหว่านเมล็ดแห่งการแตกแยกใน
คริสตจักร ที่พอรู้ตัวก็สายเกินไปเสียแล้ว
คริสตจักร ที่พอรู้ตัวก็สายเกินไปเสียแล้ว

"วาทะที่คมคาย" หมายถึงทักษะการนำเสนอข้อมูลความรู้ที่รวมถึงความมั่นใจในตัวเองในการนำเสนอ " ตามสติปัญญาของมนุษย์ " นี่ก็ชี้ถึงทักษะและข้อมูลความรู้ทั้งหลายที่ถูกเสนอ ซึ่งถ้าไม่ได้ชี้ไปถึงไม้กางเขนก็เป็นแค่สติปัญญาของมนุษย์ ซึ่งง่ายมากที่จะนำคนมองไปที่มนุษย์ ในกรณีนี้ก็คือผู้สอนหรือผู้นำ คนก็จะมองหาผู้นำที่เก่ง มีทักษะในการนำเสนอ ผู้นำที่ดูมั่นใจ มีของประทานฯที่มีความรู้รวมทั้งความรู้พระคัมภีร์ ผู้นำที่มีสิ่งต่างๆเหล่านี้ถ้าไม่ยอมลดความสำคัญของตัวเองลงแล้วนำผู้รับไปที่กางเขน เขาก็กำลังทำตัวมาแทนที่ความสำคัญของไม้กางเขน หรือที่พระคัมภีร์บอกว่า "เพราะเกรงว่าไม้กางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์อำนาจ"
กิจการ 3:1-16 และ 14:8-20 ทั้งสองเป็นเหตุการณ์ที่มีเนื้อหาคล้ายกัน ทั้งสองบันทึกถึงพฤติกรรมของอัครทูตที่มีต่อฝูงชนในขณะที่ฝูงชนพยายามจะยกย่องสรรเสริญอัครทูตเพราะอัครทูตได้ทำการอัศจรรย์ จากพระคัมภีร์เราเห็นได้อย่างชัดว่าในทั้งสองเหตุการณ์ อัครทูตที่เกี่ยวข้องต่างพยายามปฏิเสธการถูกมองเป็นคนวิเศษโดยการปฏิเสธการยกย่องที่ฝูงชนจะให้ ในกิจการ 3:1-16 หลังจากที่เปโตรได้รักษาคนง่อยที่ประตูพระวิหารและ"คนทั้งปวงต่างประหลาดใจและพากันวิ่งมาหาพวกเขาในบริเวณที่เรียกว่าเฉลียงของโซโลมอน" จากนั้นเปโตรก็พูดอย่างชัดมากว่าที่เขารักษาได้ไม่ใช่เพราะ "ด้วยฤทธิ์อำนาจหรือความชอบธรรมของเราเอง" และส่วนเหตุการณ์ที่สอง เปาโลฉีกเสื้อผ้าตัวเองแล้วพูดอย่างชัดว่า "ท่านทั้งหลาย เหตุใดจึงทำเช่นนี้ ? เราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเช่นเดียวกับพวกท่าน" ทั้งสองพยายามทุกอย่างที่จะไม่รับการยกย่องที่มองพวกเขาเป็นคนพิเศษ และพยายามบอกกับทุกคนว่าการที่เขาทำการอัศจรรย์ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขากลายเป็นคนวิเศษ ' (ยกมาจากโพสต์วันที่ 5 ตุลาคม 2558 ใน เฟซบุ๊ต Thai Vineyard Friends Community)
"พวกยิวเรียกร้องหมายสำคัญ และพวกกรีกมองหาสติปัญญา"
แล้วคนไทยพวกเรามองหาอะไร? ผมขอใช้คำว่า 'ไฮบริด' คือเราคนไทยมองหาทั้งสองอย่าง เรามองหาคนที่ทั้งทำหมายสำคัญการอัศจรรย์ และคนที่มีสติปัญญารวมถึงความรู้พระคัมภีร์ แต่ถึงเวลาแล้วที่เราทั้งผู้สอนและผู้รับต้องมองไปที่ไม้กางเขนของพระเยซู แม้กางเขนจะเป็น “เป็นหินสะดุดสำหรับพวกยิวและเป็นเรื่องโง่ๆ สำหรับพวกต่างชาติ" เพื่อ "ให้ท่านทุกคนปรองดองกันเพื่อจะไม่มีความแตกแยกใดๆในหมู่พวกท่าน และเพื่อท่านจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ทั้งในความคิดและจิตใจ"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น