30 พฤษภาคม 2558

: อะไรคือบาป ?

คริสเตียนเราทั้งถูกสอนและทำให้เข้าใจมาเสมอว่าการเป็นคริสเตียนที่ดี หมายถึงคริสเตียนที่มีลักษณะหลายอย่าง ลักษณะหนึ่งที่สำคัญมากๆก็คือมีชีวิตที่ทำบาปน้อยหรือบางคนถึงขั้นที่กล้าบอกว่าไม่ทำบาปเลย คริสเตียนทั่วไปรวมทั้งผมด้วยที่เราพยายามกำจัดนิสัยบาปหรืออย่างน้อยบริหารความบาปของเราเพื่อไม่ให้เลยเถิด สุดท้ายเราก็ใช้ชีวิตและกำลังส่วนใหญ่ของเรามาพยายามควบคุมตนไม่ตกในความบาป ลองมาหยุดหน่อย... แล้วถามคำถามว่าจริงๆแล้วอะไรคือบาป แล้วไม้กางเขนกับการเป็นขึ้นมาของพระเยซูมีความหมายอย่างไรกับเราเมื่อเราทำบาปและเป็นคำตอบในการชนะนิสัยบาปของเราได้ไหม 

อย่างน้อยถ้าเราจะสู้กับใครให้เรามารู้ว่าคู่ต่อสู้เราเป็นใครก่อนและเขาเป็นอย่างไร  เพื่อที่เราจะสู้ได้อย่างชัดเจน อะไรคือบาปจึงเป็นคำถามที่เราควรถาม โดยทั่วไปเราจะเข้าใจว่าบาปคือการไม่เชื่อฟังพระเจ้าและทำผิดกฏของพระเจ้า ในความเป็นจริงเราก็ไม่รู้ว่ากฏอะไรของพระเจ้า จะเป็นกฏจากพระคัมภีร์เดิมเช่นบัญญัตสิบประการก็ไม่ใช่ เพราะพระคัมภีร์ได้บอกไว้ว่าถ้าเราถือกฏบัญญัตเราก็ต้องถือทุกข้อ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่เ พราะไม่เคยเจอหรือได้ยินใครสอนให้ใส่ชุดปุโรหิต เป็นต้น หรือถ้าอย่างนั้นคือกฏทางด้านจริยธรรมและศีลธรรมของสังคมหรือเปล่า แต่แล้วทุกวัฒนธรรมกับสังคมของมนุษย์ก็แตกต่างจากกันและกัน เช่น บางประเทศการดื่มเปียร์ก็ไม่บาป แต่บางประเทศก็ถูกประนามว่าบาป เพราะฉะนั้นให้เรากลับไปดูอาดัมกับเอวาที่มนุษย์ทำบาปครั้งแรก ดูกันแบบตรงๆเลยว่าอะไรคือบาป

จากที่มนุษย์ได้ทำไปนั้น ก็ดูเหมือนมีขั้นมีตอนที่เป็นองประกอบร่วมกันในความเป็นบาป สิ่งแรกคือเชื่อมาร จากนั้นมนุษย์ก็เลือกที่ปฏิเสธความเป็นตัวตนที่พระเจ้าบอกว่าดีอยู่แล้ว นี่ก็เหมือนกับตัดจากแหล่งชีวิต แล้วหันมาพึ่งพาการกระทำของตัวเองเพื่อให้ตัวเองมีคุณค่ามากขึ้น บวกกับผลแห่งการรู้ดีรู้ชั่วที่เขากินเข้าไป เราต่างถึอสิทธิมาพิพากษาความดีความชั่วหรือเป็นผู้ตัดสินเองว่ามนุษย์คนไหนดีพอจากการกระทำของเขา เพราะฉะนั้นกร อบความคิดและการกระทำที่เป็นผลจากความคิดนี้ก็คือบาป

จากตรงนี้เราจึงเข้าใจได้ว่าทุกครั้งที่เราทำบาป เราถูกหลอกอยู่ แม้เราจะรู้สึกดีกับมันอย่างที่เอวาบอกว่าผลนั้นดูไปก็ช่างมีความสุข อารมณ์ของเรากำลังบอกว่าสิ่งที่เราเชื่อและทำอยู่นี้มันช่างเป็นจริงและให้คุณค่ากับตัวเอง จากเหตุการณ์ในพระคัมภีร์มารหลอมนุษย์ที่ความคิดเพื่อให้เกิดอารมณ์ คำพูดทั้งหมดของมารไม่ใช่ความจริง แต่เป็นการบิดเบือนความจริงที่ฟังแล้วเหมือนความจริงแต่ก็ไม่ใช่ความจริง และเป็นคำพูดที่หันให้เราออกจากพระเจ้ามาจดจ่อตัวเองเพื่อจะได้อะไรดีๆ แม้ในความจริงพระเจ้าเป็นผู้เดียวที่ให้คุณค่าและสิ่งดีๆกับมนุษย์ ในความไร้เดียงสา มนุษย์เชื่อสิ่งที่มารพูดและปล่อยให้ความคิดเข้ามากระตุ้นอารมณ์อยากและสุดท้ายก็เกิดการกระทำตามมา

ดูเหมือนมีสองสิ่งที่สามารถช่วยเราหลุดจากการหลอกลวงได้ นั่นก็คือการรู้ว่าเราเป็นใครในพระเจ้าบวกกับความจริงที่มาจากพระเจ้า ยิ่งพวกเราที่เชื่อพระเยซูที่ได้เป็นขึ้นมานั้น เราได้รับการไถ่จากพระองค์ด้วย การไถ่นี้ทำให้ตัวตนเก่าของเราตายไปพร้อมกับพระเยซูบนไม้กางเขน และข่าวดีคือเราได้ร่วมกับพระเยซูที่เป็นขึ้นมาเป็นตัวตนใหม่ในเรา ไม่ใช่ตัวเก่ามีโอกาสใหม่หรือตัวเก่ามีโอกาสใหม่และมีผู้ช่วยอยู่ด้วย ทั้งสองแบบหลังนี้ไม่ใช่ข่าวดีเพราะยังขึ้นอยู่กับตัวเก่าของเรา แต่ข่าวดีจริงๆคือเราได้เกิดใหม่ เรามีตัวตนใหม่และตัวตนใหม่นั้นคือพระคริสต์อยู่ในเรา เราจึงมีความหวังว่าเราจะเหมือนพระเยซูได้ เราจึงมีค่าอย่างมากเพราะพระคริสต์ในเราที่เราไม่จำเป็นต้องดิ้นรนไปทำอะไรมาเพิ่มคุณค่าให้ตัวเองอีกต่อไป เราดีพอเสมอเพราะพระคริสต์ที่อยู่ในเรา ในพระคัมภีร์บอกว่า"จงบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์" พระคำตอนนี้เพียงประกาศให้เรารู้ว่าเราบริสุทธิ์แล้วเพราะพระเยซู ฉะนั้นให้เรารู้ว่าเราคือใครเพราะผู้ใด แล้วให้ใช้ชีวิตตามธรรมชาติใหม่ของเรา 

ความจริงในตัวมันเองมีพลังมหาศาลที่สามารถฆ่าหรือให้ชีวิตก็ได้ สามารถผูกมัดหรือทำให้เราเป็นไทก็ได้ ความจริงจะทำงานและขับเคลื่อนด้วยตัวเอง เราทำได้แค่เพียงตอบรับต่อมันอย่างที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่า"ความจริงทำให้เราเป็นไท" เรามีแต่ยอมรับความจริงและพลังของมัน คำถามมีอยู่ว่าความจริงเหล่านี้จะเป็นความจริงในชีวิตเราได้อย่างไร ในความเป็นมนุษย์เราก็คงทำได้อย่างเดียวตามอย่างยอห์น3:16 คือเชื่อ!!


ดังนั้น จากสิ่งที่พระเยซูได้ทำสำเร็จบนไม้กางเขนและการเป็นขึ้นมาของพระองค์  ผู้เชื่อทุกคนตามที่เปาโลเรียกว่าธรรมิกชน หมายความว่าเราทุกคนต่างก็เป็นคริสเตียนที่ดีโดยการงานของพระเยซู ไม่ใช่เพราะเราเอง