19 มกราคม 2560

: กำเนิดแห่งความหวัง

ส่วนใหญ่เราจะถูกสอนว่าให้เราทำในปัจจุบันให้ดีที่สุด บางครั้งคำสอนนี้ก็จะบอกด้วยว่าอย่าไปคิดมากกับเรื่องอนาคต อย่างกับว่าอนาคตอยู่ไกลเกินไป     ......

แต่ถ้ามาหยุดคิดหน่อย จะพบว่าเวลาไม่เคยหยุด เวลามีแต่ผ่านไป ไม่มีแม้กระทั่งชะลอลง ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์อยู่ในโลกที่หมุนไปตามกาลเวลา ทุกวินาทีของการใช้ชีวิตของมนุษย์จึงเป็นการใช้ชีวิตในปัจจุบันที่กำลังเข้าสู่อนาคตด้วย เพราะวินาทีหน้าก็จะกลายเป็นปัจจุบันและอีกแป๊ปเดียวก็กลายเป็นอดีตไป นั่นหมายความว่าเราทุกคนกำลังใช้ชีวิตเข้าสู่อนาคตตลอดเวลา หรือจะพูดว่าอนาคตเข้ามาหาเราทุกวินาทีเหมือนกับกาลเวลาที่ไม่หยุดยั้งหรือชะลอลง และไม่ได้อิงกับการตัดสินใจของเราด้วย ชีวิตเราจึงเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงสองกาลเวลาเสมอ คือปัจจุบันและอนาคต กาลเวลาพาเรามาเผชิญกับอนาคตตลอดเวลา


การจะเผชิญกับอนาคตอย่างไรล้วนขึ้นอยู่กับการเลือกของเราที่บ่อยครั้งมักขับเคลื่อนโดยความกลัวหรือไม่ก็ความหวัง ความกลัวเป็นอารมณ์และความคิดจากความเชื่อที่ว่าจะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นในอนาคต ความกลัวกักขังและจำกัดพื้นที่ชีวิตของเราเสมอ เหมือนดังอาดัมมนุษย์คนแรก ความกลัวทำให้เขาแอบจนไม่สามารถออกมาเจอหน้ากับพระเจ้า แม้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ริเริ่มเข้ามาและเรียกหามนุษย์หลังจากที่มนุษย์ล้มลง หรือชาวอิสราเอลยุคแรกที่กลัวชาวคานาอันจนไปจำกัดความสามารถ ความซื่อสัตย์และความรักของพระเจ้า 

แต่... ความหวังเป็นอารมณ์และความคิดจากความเชื่อที่ว่าจะมีสิ่งดีกว่าปัจจุบันมากๆจะเกิดขึ้นในอนาคต ความหวังขยายขอบเขต เปิดโลกกว้างให้กับชีวิตเรา และยังเป็นพลังเปลี่ยนเราจากการเป็นผู้ถูกรุกรานกลายเป็นฝ่ายที่รุกเข้าหาอนาคต เหมือนที่พระเจ้าสัญญากับโยชูวาว่าในอนาคตจะมีสิ่งที่ดีกว่าปัจจุบัน จากโยชูวา 1:3-6 “ทุกแห่งที่พวกเจ้าเหยียบย่างไปเราจะยกที่แห่งนั้นให้พวกเจ้า.... ดินแดนของพวกเจ้าจะมีอาณาเขตตั้งแต่ถิ่นกันดารถึง... ไม่มีใครยืนหยัดเจ้าได้ตลอดชีวิตของเจ้า... เจ้าจะนำประชากรเหล่านี้เข้าไปครอบครองดินแดนซึ่งเราปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา...”  โยชูวาจึงนำอิสราเอลข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าสู่แผ่นดินพันธสัญญา หรืออับราฮัมที่ได้รับพระสัญญาเกี่ยวกับอนาคตที่ดีมาก จากโรม4:18  “ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะมีความหวังใดๆ อับราฮัมก็ยังเชื่อ เพราะเขามีความหวัง เขาจึงได้เป็นบิดาของหลายชนชาติ”

ฮีบรู11:1 “ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น” และจาก โรม4:18 “...อับราฮัมก็ยังเชื่อ เพราะเขามีความหวัง...” ข้อพระคัมภีร์นี้ได้แสดงถึงว่าความหวังและความเชื่ออยู่คู่กันเสมอ ความหวังสัญญาถึงปลายทางที่ดีกว่าปัจจุบัน ความเชื่อเปรียบเหมือนเชื้อเพลิงที่ถูกจุดขึ้นโดยการได้รับแรงบันดาลใจจากความหวังมาขับเคลื่อนชีวิตเรา ในยามยากลำบากความหวังและความเชื่อจึงเป็นกำลังสำคัญให้เราเดินออกจากปัจจุบันเข้าสู่อนาคต โรม 5:2-4 “โดยทางพระองค์เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่นี้ด้วยความเชื่อ และเราจึงชื่นชมยินดีในความหวังที่จะได้มีส่วนในพระเกียรติสิริของพระเจ้า ไม่เพียงเท่านั้นแต่เรายังชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้นก่อให้เกิดความบากบั่น ความบากบั่นทำให้เรามีอุปนิสัยที่พิสูจน์แล้วว่าใช้การได้ และอุปนิสัยเช่นนั้นทำให้มีความหวัง” 

บางเวลาอาจยากมากที่จะเชื่อในความหวัง หรือยากมากที่จะมีความหวัง ในเวลานั้นมีอยู่สิ่งหนึ่งที่สามารถให้กำเนิดความหวัง ในโรม 5:5 ความหวังไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะพระเจ้าทรงเทความรักของพระองค์เข้ามาในจิตใจของเราโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่เรา” ความหวังเกิดขึ้นจากการที่เราถูกรัก ความรักคือการให้ คือการที่เราไม่ถูกจดจำความผิดและถูกกล่าวโทษ คือการที่ได้รับโอกาสใหม่เสมอ คือการที่มีคนคำนึงถึงประโยชน์ของเราก่อนตัวเขาเอง คือการที่มีคนให้แต่ความจริง คือได้รับการยอมรับและเห็นถึงความดีในตัวเราเสมอ คือการที่มีคนเชื่อและมีความหวังในตัวเราเสมอ (จาก 1โครินธ์13:4-8) ความรักตามที่กล่าวมานี้เติมคุณค่าให้กับชีวิต การถูกรักช่วยให้รู้สึกถึงความปลอดภัย ความไว้วางใจและการเชื่อมต่อระหว่างทั้งสองคน จากการถูกรักเราก็จะรักกลับด้วยการเห็นชอบกับสิ่งที่คนที่รักเราเชื่อ จึงเป็นธรรมชาติที่เราเริ่มมีความหวังเพราะเขามีความหวังในตัวเรา การถูกรักปลดปล่อยพลังแห่งความหวัง และเป็นพลังที่สามารถพิชิตความกลัว  ดังใน1ยอห์น4:18 “ในความรักไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์ย่อมขจัดความกลัวออกไป เพราะความกลัวเกี่ยวข้องกับการลงโทษ ผู้ที่กลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์”

ในยามหม่นหมองรู้สึกกลัวและไม่มีความหวังที่จะเผชิญกับอนาคตที่มีแต่ถาโถมเข้ามาแบบไม่หยุดยั้งหรือชะลอลง ในเวลาอย่างนี้ให้เรามองหาความรักรอบๆชีวิต โดยเฉพาะความรักของพ่อที่ได้ยืนยันอย่างประจักษ์ได้บนไม้กางเขน 1ยอห์น4:9,10 “นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ท่ามกลางเราทั้งหลาย คือพระองค์ทรงส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลกเพื่อเราจะได้มีชีวิตโดยทางพระบุตรนั้น นี่คือความรัก ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระเจ้าทรงรักเราและทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเรา” และอุโมงค์ว่างเปล่าก็ได้นำสู่ความรักนิรันดร์ คือพระคริสต์ในเรา (โรม 6:4, โคโลสี 1:27)  ชีวิตของเราจึงมีความรักอยู่รอบล้อมเราเสมอ เป็นความรักที่ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตของเราในปัจจุบันและก้าวเข้าสู่อนาคตอย่างมั่นใจ มีชีวิตชีวา 


สุดท้าย ความหวังคือแรงบันดาลใจ ความเชื่อคือเชื้อเพลิงที่ขับเคลื่อน แต่ความรักคือแหล่งกำเนิดของทั้งสองสิ่ง  1โครินธ์ 13:13 “ฉะนั้นสามสิ่งนี้ยังคงอยู่คือ ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด



ไม่มีความคิดเห็น: