26 สิงหาคม 2559

: เลิกกลัวว่า ..พระเจ้าไม่รักได้แล้ว


ปฐมกาล 3:10 'เขาทูลว่า “ข้าพระองค์ได้ยินเสียงของพระองค์อยู่ในสวนก็กลัว เพราะข้าพระองค์เปลือยกายอยู่ จึงหลบซ่อนตัวเสีย”' นี่คือเสียงขานรับของอาดัมต่อการเรียกหาของพระเจ้า หลังการล้มลงของมนุษย์ ความกลัวก็เริ่มเกิดขึ้น จากเหตุผลของอาดัม เราเข้าใจได้ว่าเขากลัวเพราะเขามองตัวเองเปลี่ยนไป มนุษย์เชื่อว่าตัวเองไม่ดีพอที่พระเจ้าจะมายอมรับเขา มนุษย์จึงกลัวพระเจ้าจะปฏิเสธและลงโทษพวกเขาถึงขนาดไม่กล้าเข้าหาพระเจ้า

ความกลัวเป็นอารมณ์ที่มีคำโกหกว่าในอนาคตจะมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น คนที่ตกอยู่ในความกลัวจะเชื่อคำโกหกว่าสิ่งที่ยังไม่เกิดนั้นเป็นจริง เหตุฉะนั้นจึงพยายามใช้ชีวิตปัจจุบันในทางที่คิดว่าจะไม่ให้สิ่งที่กลัวนั้นบังเกิดขึ้น บางครั้งก็ใช้เวลาและกำลังเยอะมากที่พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่ยังหรืออาจไม่เกิดขึ้น สิ่งที่เรากลัวกลายเป็นตัวกำหนดชีวิตปัจจุบันของเรา จากเหตุการณ์ที่มนุษย์ล้มลง คือการที่มนุษย์เชื่อมารผ่านการเลือกที่จะให้คุณค่าตัวเองด้วยการกระทำของตัวเอง มนุษย์เริ่มเชื่อว่าตัวตนแท้ที่พระเจ้าสร้างมานั้นไม่ดีพอและอายต่อตัวเอง ถึงขั้นที่เชื่อว่าพระเจ้าก็ไม่สามารถยอมรับได้ และยิ่งกว่านั้นมนุษย์เชื่อว่าพระเจ้าจะลงโทษพวกเขา โดยลืมไปว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ "องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระคุณและความเอ็นดูสงสาร ทรงกริ้วช้า และเปี่ยมด้วยความรักมั่นคง" (สดุดี 145:8) ความกลัวของอาดัมทำให้เขาหลบซ่อนตัวจากพระเจ้าแม้พระเจ้ากำลังเรียกหา เขากลัวว่าพระเจ้าจะปฏิเสธเพราะเขาไม่ดีพอ ถ้าเราสังเกตุเหตุผลที่หลบ อาดัมอ้างว่าเป็นเพราะเขามองตัวเอง"เปลือยกายอยู่" เขาไม่เข้าใจเลยว่าเขาได้ทำผิด ตั้งแต่นั้นมนุษย์ก็จมอยู่กับความอายต่อตัวเอง และจมอยู่ในความกลัว เชื่อว่าตัวเองไร้ค่าบวกกับความกลัวว่าผู้อื่นจะไม่ยอมรับ จากปฐมกาลเราเห็นได้ว่าสองสิ่งนี้เป็นตัวทำร้ายความสัมพันธ์โดยทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่กล้าเข้าใกล้อีกฝ่ายหนึ่งหรือเข้าลึกในความสัมพันธ์เพราะกลัวอีกฝ่ายเจอตัวตนแล้วจะปฏิเสธ เพราะความกลัวนี้เราไม่สามารถเป็นตัวจริงได้ บางคนถึงขั้นต้องสร้างบางสิ่งบางอย่างที่เห็นและจับต้องได้ มาปกปิดหรือสร้างตัวตนปลอมที่ตัวเองคิดว่าทำให้ตัวเองมีค่าขึ้นมา แต่สิ่งเหล่านั้นก็ช่างเป็นสิ่งชั่วคราวที่ต้องหามาอยู่เรื่อยๆ เหมือนในปฐมกาลที่มนุษย์ต้องเอาใบไม้มาปกปิดหรือสร้างภาพให้ตัวเองดูดี ซึ่งใบไม้นั้นช่างเป็นอะไรที่ชั่วคราวจริงๆ


จากผลของอาดัมคนแรก มนุษย์ก็ตกอยู่ในความกลัวมาตลอด โดยเฉพาะกลัวพระเจ้าและอยู่ในวังวนแห่งการสร้างคุณค่าให้ตัวเองเพื่อหวังว่าวันหนึ่งจะดีพอที่พระเจ้าจะยอมรับได้ ความกลัวนี้ทำให้มนุษย์มองพระเจ้าเป็นศัตรูไม่ใช่เป็นคุณพ่ออีกต่อไป "ครั้งหนึ่งพวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้าและเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจเพราะพฤติการณ์ชั่วของท่าน" โคโลสี 1:21 ซึ่งมนุษย์เองก็ไม่สามารถพาตัวเองหลุดจากวังวนนี้แม้การทำตามบัญญัติก็ไม่สามารถไปถึงความชอบธรรมหรือดีพอได้ แต่ก็ด้วยบัญญัติที่พระเจ้าให้มา มนุษย์ได้เห็นถึงความบาปในตัวเองและยอมรับว่าไม่สามารถถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยการกระทำได้ บัญญัติจึงเป็นตัวช่วยที่จะนำพามนุษย์มาถึงความชอบธรรมโดยความเชื่อผ่านพระเยซูผู้เป็นอาดัมที่สอง "ดังนั้นบทบัญญัติได้รับมอบหมายหน้าที่ให้นำเรามาถึงพระคริสต์ เพื่อเราจะได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ" กาลาเทีย 3:24 เพราะมนุษย์ได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้าได้ให้มนุษย์คืนดีกับพระเจ้าได้ "แต่บัดนี้ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวายท่านให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ และพ้นจากข้อกล่าวหาต่อหน้าพระองค์" 

โคโลสี 1:22 ผลแห่งการคืนดีนั้น มนุษย์ได้กลับไปสู่ความสัมพันธ์ดั้งเดิมกับพระเจ้าก่อนล้มลง มนุษย์จึงไม่ต้องกลัวพระเจ้าอีกต่อไป เพราะพระเยซูทำให้เรากลายเป็นลูกสุดที่รักของพระบิดา พระบิดามีแต่ยอมรับเรา รักเรา อยู่ข้างเราเสมอ "ท่านไม่ได้รับวิญญาณซึ่งทำให้ท่านเป็นทาสของความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทำให้ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า และโดยพระองค์ เราร้องว่า “อับบา พ่อ” " โรม 8:15 


นี่คือข่าวดี คือเราสามารถหยุดวังวนที่จะเป็นคนที่ดีพอสำหรับพระเจ้าโดยตัวเราเองได้ แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือผู้เชื่อในพระเยซูทุกคนสามารถใช้ชีวิตที่เป็นคนที่ดีพอเสมอสำหรับพระเจ้าเพราะพระเยซู ไม่ต้องกลัวพระเจ้าอีกต่อไป