8 เมษายน 2561

: สามีและภรรยา

เอเฟซัส บทที่ 5:21-33 ได้พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างสามีกับภรรยา ก่อนที่จะลงรายละเอียดเอเฟซัสได้เริ่มด้วยคำว่า "ยอมเชื่อฟังกันและกันเนื่องด้วยใจยำเกรงเคารพพระเจ้า" (ข้อ21)  

คำนี้เปรียบเหมือนกับกติกาที่วางไว้ก่อนที่จะเริ่มเกมระหว่างสองคน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป กติกานี้เรียกร้องให้ทั้งสองนั้นอยู่ภายใต้การ....ยอม-เชื่อ-ฟัง....กันและกัน ทั้งสามสิ่งนี้ถ้าเรามองและใช้เวลามาเข้าใจจะพบว่า สามสิ่งนี้ล้วนเชื่อมโยงกันอย่างมาก คำว่ายอมนั้นหมายถึงให้เราวางสิ่งที่เรามองเป็นสิทธิของเรา หรือบางกรณีคือวางสิ่งที่เราเชื่อว่ามันถูกต้อง 

การวางตัวเองลงคือการให้โอกาสกับอีกฝ่ายหนึ่ง และให้ตัวเองร่วมอยู่ในสภาวะที่เขาอยู่ (Empathy) และบางกรณีมีอารมณ์ร่วมกับเขาด้วย ซึ่งก็คือการฟังที่สุดยอดที่สุด    
      
จากการวางลง เราจะสามารถเชื่อว่าสิ่งที่อีกคนกำลังจะสื่อนั้นเป็นจริงและสำคัญสำหรับเขา เชื่อว่าเขาเป็นส่วนสำคัญสำหรับเรา การ ยอม-เชื่อ-ฟังจึงเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายกลับมาที่ความรักเสมอ 

ภายใต้กติกาการยอมเชื่อฟังกันและกันนี้ พระคัมภีร์ ได้บอกให้ ผู้ที่เป็น ภรรยา ยอมเชื่อฟังสามี เหมือน คริสตจักรที่ยอมเชื่อฟังพระคริสต์ และเปรียบภรรยาเป็นกาย โดยที่มีสามีเป็นศรีษะ เหมือนคริสตจักรเป็นกายของพระคริสต์โดยที่มีพระคริสต์เป็นศีรษะ  

การยอมเชื่อฟังนี้ จึงเรียกร้องให้เรามาเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่าง คริสตจักร กับพระคริสต์ บ่อยครั้งเราจะรีบสรุปว่าการยอมเชื่อฟังจากคริสตจักรให้กับพระคริสต์นั้นเป็นการยอมเชื่อฟังเหมือนคำสั่งที่เราต้องเชื่อฟังแต่ถ้าเรามาดูว่าพระคริสต์ตั้งแต่แรกรักเราเสมอด้วยความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ซึ่งเป็นความรักที่ให้เสรีภาพแก่เรา ให้สิทธิ์เราที่จะเลือก ไม่ใช่ความรักที่เรียกร้อง หรือ ควบคุม แต่เป็นความรักที่เชิญชวนเสมอ การยอมเชื่อฟังของคริสตจักรที่ให้กับพระคริสต์จึงเป็น การตอบสนองต่อความรักที่คริสตจักรได้รับจากพระคริสต์ อย่างที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่า "เรารักเพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน" และ "ถ้าพวกท่านรักเราพวกท่านจะเชื่อฟังสิ่งที่เราบัญชา" การยอมเชื่อฟังจึงเป็น ผลจากการถูกรัก  

อนึ่ง พระคัมภีร์ได้พูดไว้ว่า รูปแบบ หรือการแสดงออก ของการยอมเชื่อฟัง ...
จากฝ่ายหญิงที่ให้กับฝ่ายชายนั้นคือการเคารพและให้เกียรติ "......ภรรยาก็ต้องเคารพสามีของตน" เอเฟซัส 5:33 
ส่วนฝ่ายชาย พระคัมภีร์ เสนอให้ยอมเชื่อฟัง ต่ออีกฝ่ายหนึ่ง ด้วยการรักแบบพระคริสต์ที่รักคริสตจักร

ซึ่งก็หมายถึงความรักแบบไม่มีเงื่อนไข เป็นความรักที่ไม่อิงกับสิ่งใดๆ เช่น ความรักของพระคริสต์ที่มีให้กับคริสตจักร ก็ไม่เคย ขึ้นอยู่กับ สถานการณ์ของคริสตจักร หรือ ปฏิกิริยาของคริสตจักรที่มีให้กับพระคริสต์  โดยเฉพาะ ในช่วงเวลาที่ คริสตจักร ไม่ประพฤติ ไม่ทำไม่เป็นดั่งที่พระคริสต์อยากให้เป็น ในเวลาอย่างนั้นพระคริสต์ก็ไม่เคยหยุดที่จะรัก และไม่เคยทอดทิ้ง ไม่เคยสิ้นหวัง แถมยังเป็นคนที่เข้าหาก่อน และรักก่อนเสมอ อีกด้านหนึ่งของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข คือ การเชื่อว่าอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นคนที่สำคัญและมีค่ามาก ถึงขั้นที่ยอมวางทุกอย่างเพื่อประโยชน์ ของอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อตัวเอง "...พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และประทานพระองค์เองแก่คริสตจักร เพื่อทรงทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์..." เอเฟซัส 5:25-26 เพราะความรักพระคริสต์ ได้พาตัวเอง ลงจากบัลลังก์ เข้ามาในสถานการณ์ หรือในสภาพ ของมนุษย์เพื่อจะพูดภาษารักของมนุษย์ และนี่คือความรักที่ยอมเสี่ยงเพื่อประโยชน์ของอีกฝ่ายหนึ่ง 

พระคัมภีร์ได้เสนอว่าการที่ฝ่ายชายยอมและกล้าที่จะรักฝ่ายหญิง ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง เพราะ อีกฝ่ายหนึ่งเปรียบเหมือนเป็นกายของตัวเอง นั่นก็หมายถึง ความผูกพันระหว่างทั้งสองนั้น เป็นความผูกพัน ที่ ทั้งสองฝ่ายต้องการกันและกัน จึงเรียกร้องการดูแลต่อกันและกัน สุดท้าย การที่สองคนจะผูกพันกันแบบนี้ได้ พระคัมภีร์ ก็ได้เชิญชวนให้ทั้งสองออกจากการผูกพันกับบิดามารดา ที่เป็นแบบเด็กพึ่งพาผู้ใหญ่ เพื่อที่จะเข้าสู่การผูกพันต่อกันและกัน ที่เป็นแบบผู้ใหญ่ต่อผู้ใหญ่ โดยที่ไม่มีการพึ่งพากัน แต่เป็นการผูกพันบนความรักที่ไม่มีเงื่อนไขต่อกันและกัน 

“เพราะเหตุนี้ผู้ชายจึงละจากบิดามารดาของตนไปผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน”  เอเฟซัส 5:31