21 พฤศจิกายน 2561

ไม่สิ้นหวัง..ในพ่อที่แสนดี

องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงแสนดีและเที่ยงธรรม ดังนั้นพระองค์จึงทรงสอนทางของพระองค์แก่คนบาป

สดุดี 25:8 TNCV
https://bible.com/bible/179/psa.25.8.TNCV


วันนี้ตอนที่อ่านพระคัมภีร์​ข้อนี้​ อยู่​ดี​ๆ​ตาโตขึ้นหัวใจเต้น​เร็ว​ขึ้นเพราะได้เจอบางอย่าง​ที่ให้ความหวัง​ 
ปลดล็อค​ เหมือนกับ​ได้โยนภาระ​ที่แบก​ไว้ออกไป
​ พอใช้เวลาใคร่ครวญ​อีกก็รู้สึกว่ายังมีอีกเยอะที่เราเองยังไม่รู้จัก​เกี่ยวกับพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา​

ในข้อนี้ได้ประกาศ​ความจริงที่ว่า​ ความบาปของเราไม่ใช่เป็น​อุปสรรค​ที่จะหยุดพระเจ้าที่จะมาดูแลเรา​ การที่พระเจ้าใส่ใจ​เรานั้นก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ​ความดีของเรา​ เราทุกคนเหมาะสมที่จะได้รับการสอนและการดูแล​จากพ่อเรา​ ทั้งนี้ทั้งนั้น​ก็เพราะว่า​พ่อเราแสนดี​และ​เที่ยงธรรม​ พ่อเรา"จึง" ดูแล​เราทุกคน​ 

บางครั้งในสภาวะ​"ความบาป" ของเรานั้นอาจหมายถึง​สภาวะ​ที่เราหันหลัง​จากพระเจ้า​ ทำตัว​เป็น​ศัตรู​กับพระเจ้า​ แต่ด้วยความเป็นพ่อนั้น​ พ่อนี้ก็ยังดูแลเราใส่ใจ​เราเพราะพ่อเราแสนดีและ​เที่ยงธรรม​ 

ยิ่งไปกว่านั้นคือว่าพ่อเรานี้แสนดีและ​เที่ยงธรรม​นิรันดร์กาล​ ไม่มีวันที่จะดีน้อยลงหรือเที่ยงธรรม​น้อยลง​ เราจึงมีความหวังได้โดยเฉพาะ​เวลาที่เราหมดหวังกับตัวเองหรือหมดหวังในคนอื่น​ เพราะเวลานั้นๆพ่อเรายังสอนทางเรา เพราะพ่อเราแสนดีและ​เที่ยงธรรม​ตลอดกาล​ 

ความดีนี้หมายถึง​ว่าพ่อคิดและหวังแต่สิ่งดีๆให้เรา​ กระตือรือร้น​ที่ให้แต่สิ่งที่ดีกับเราเสมอ​ เหมือนกับ​ที่พระคัมภีร์​ได้บอกไว้ว่าถ้าลูก​ขอขนมปัง​มีหรือที่พ่อจะให้ก้อนหิน​

ขอให้กำลังใจ​แก่ผู้ที่แบกภาระ​หนัก​และสิ้นหวังด้วยความจริงที่ว่า​ ในเวลานี้พ่อที่แสนดีและ​เที่ยงธรรม​ยังอยู่​ด้วยและยังใส่ใจดูแล​อยู่


สิ่งดีๆกำลัง​มา​ ให้เราเชื่อและวางใจพ่อ


4 ตุลาคม 2561

จุดหมายปลายทาง...ที่แท้จริง


ในช่วงที่พระเยซู​มีชีวิตอยู่​นั้น​ ชาวยิวถือพระคัมภีร์​เดิมอย่างเคร่งครัด​โดยเฉพาะ​พวกฟาริสี​ แต่สิ่งที่พระเยซู​กระทำนั้น​ พระเยซู​กลับใช้ชีวิตที่ไม่ได้มีท่าทีเคร่งครัด​และเชื่อฟังตามพระคัมภีร์​แบบชาวยิว เช่น​ รักษา​โรคในวันสะบาโต​ แตะต้อง​คนที่ถือว่า​เป็น​มลทินเลือก​ที่จะ​ไม่ลงโทษ​แต่ให้อภัย​ต่อคนที่ผิดบาป บางเวลาก็อ้างอิง​พระคัมภีร์​แบบไม่ครบถ้วน​ ยิ่งไปกว่านั้น​ใน​มัท​ธิว​บทที่5พระเยซู​แถม​มาเปลี่ยน​พระคัมภีร์​อีก​ ในมัทธิว 5 ก็จะมีคำพูด​ดังนี้​หลายครั้ง​ว่า​ ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า... แต่เราบอกท่านว่า... " ซึ่งแต่ละ​ครั้งพระเยซู​กำลัง​เปลี่ยน​กฎบัญญัติ​ เพราะฉะนั้น​จากการกระทำและคำพูดของพระเยซู​ พระเยซู​กำลัง​แสดงถึงพระองค์​มีสิทธิ์​อำนาจเหนือ​พระคัมภีร์​แม้ว่าพระคัมภีร์​ได้รับการดลใจจากพระเจ้า​ ดูเหมือน​ว่าพระคัมภีร์​ยังต้องสยบ​ต่อพระเยซู​

ถ้างั้น​บทบาทของพระคัมภีร์​ควรจะเป็น​อย่างไร​ ประการ​แรก​คือแน่นอนพระคัมภีร์​ไม่ใช่พระเจ้า​ นั่นก็หมายความ​ว่า​พระเจ้าองค์​เดียวของผู้เชื่อทั่งหลาย​
นั้นคือพระเยซู​ไม่ใช่​พระคัมภีร์​  เราถูก​เรียกให้มาเชื่อฟังและนมัสการพระองค์​ผู้​เดียว​ไม่ใช่พระคัมภีร์​ "มีกายเดียวและพระวิญญาณองค์เดียวเหมือนกับที่ทรงเรียกท่านมาสู่ความหวังเดียวเมื่อทรงเรียกท่าน มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว มีพระเจ้าองค์เดียวผู้ทรงเป็นพระบิดาของทั้งปวง ผู้ทรงอยู่เหนือทั้งมวล ทั่วทั้งสิ้น และในทั้งหมด" เอเฟซัส 4:4-6 

ประการที่สอง ผู้​ที่มีสิทธิ์​อำนาจสูง​สุดคือพระเยซู​ ไม่ใช่พระคัมภีร์​ 

"... สิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์และในแผ่นดินโลกทรงมอบไว้แก่เราแล้ว..." มัทธิว 28:18

ประการที่สาม "พระคัมภีร์ทุกตอน ได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสั่งสอน การว่ากล่าวตักเตือน การแก้ไขข้อบกพร่อง และการฝึกฝนในความชอบธรรม เพื่อเตรียมคนของ
พระเจ้าให้พรักพร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง" 2ทิโมธี 3:16-17
จากข้อนี้วัตถุประสงค์​หนึ่งของพระคัมภีร์​คือเปรียบ​เหมือน​เป็น​เครื่องมือ​สำคัญ​ในการเตรียมคนให้พร้อมสำหรับ​การดีทุก​อย่าง​

ประการที่สี่​ เราอาจต้องมาเข้าใจว่าหลายๆครั้งคำว่า "พระคำ" "พระวาทะ"​ หรือ​คำใด​ๆที่​ผ่านมาในพระคัมภีร์​ที่เราเข้าใจว่าคือพระคัมภีร์​นั้นโดยเฉพาะ​ที่ได้ถูก​มอบหมาย​ความสำคัญ​เป็น​พิเศษ​ เช่น​
"ขณะที่ท่านยึดมั่นในพระวจนะแห่งชีวิตเพื่อข้าพเจ้าจะอวดได้ในวันแห่งพระคริสต์ว่าข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งหรือลงแรงโดยเปล่าประโยชน์​" ฟีลิปปี 2:16
ควรจะหมายถึง​พระเยซู​แทนที่จะเป็น​พระคัมภีร์​ เพราะ​ พระเยซู​ผู้​เดียวที่ให้ชีวิต​ ตาม​พระคัมภีร์​ดัง​นี้
"เราประกาศแก่ท่านถึงพระวาทะแห่งชีวิตซึ่งดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ได้เห็นกับตา ได้พินิจดู และได้สัมผัสด้วยมือของเรา"
1ยอห์น 1:1 TNCV

และ​ "ท่านขยันศึกษา พระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าโดยพระคัมภีร์ท่านจะได้ชีวิตนิรันดร์ พระธรรมเหล่านั้นคือพระคัมภีร์ที่เป็นพยานเกี่ยวกับเรา กระนั้นพวกท่านก็ไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต​" ยอห์น 5:39-40 TNCV 

ประการที่ห้า​ จากข้อพระคัมภีร์​ที่ว่า​
"ดังนั้นบทบัญญัติได้รับมอบหมายหน้าที่ให้นำเรามาถึงพระคริสต์ เพื่อเราจะได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ"กาลาเทีย 3:24 TNCV
พระคัมภีร์​มีเพื่อเปรียบ​เหมือน​เป็น​ทางผ่านให้ไปถึงพระเยซู​ ไม่ใช่จุดหมาย​ปรายทางของเรา​ พระเยซู​ต่างหาก​ที่เป็น

"ไม่​เคย​มี​ใคร​เห็น​พระเจ้า มี​แต่​พระบุตร​เพียง​องค์​เดียว​ของ​พระองค์ ผู้ที่​เป็น​พระเจ้า​เอง​และ​อยู่​ใกล้​ชิด​กับ​พระบิดา​ด้วย ได้​เปิดเผย​พระเจ้า​ให้​เรา​รู้จัก"ยอห์น 1:18
พระคัมภีร์​ข้อ​นี้​ได้ประกาศ​ว่าไม่มีใครสามารถรู้จัก​พระเจ้าได้เว้นแต่​ว่าคนนั้นได้พบกับพระเยซู​ สอดคล้อง​กับข้อพระคัมภีร์​ที่พระเยซู​เองได้บอกไว้ว่า​
"พระ​เยซู​บอก​ว่า เรา​เป็น​ทาง​นั้น เป็น​ความ​จริง​และ​เป็น​ชีวิต ไม่​มี​ใคร​ไป​ถึง​พระบิดา​ได้​นอก​จาก​มา​ทาง​เรา" ยอห์น 14:6
พระเยซูจึงเปรียบเสมือน​เป็น​จุดหมายปลายทาง​ของเราโดยที่มีพระคัมภีร์​เป็น​สะพาน​ให้เราเชื่อมต่อ​ไปยังเป้าหมาย​เดินทางของเรา​ เพราะ​ฉะนั้น​ให้เราอย่าหลงใหล​หยุดพัก​กับทางผ่านแต่ให้เดินผ่านเพื่อจะชื่นชม​กับจุดหมายปลายทาง​ที่ให้ชีวิตกับเราดีกว่า


17 กันยายน 2561

:ใหญ่กว่าตัวเอง

ปีใหม่ได้เริ่มแล้ว สำหรับบางคนอาจใช้เวลานี้คิดถึงทิศทางชีวิตของตัวเองว่ากำลังเดินมาถูกทางไหม หรือดูว่าตัวเองได้เข้าใกล้สู่เป้าหมายแค่ไหน หรือสำหรับบางคนคือเวลาที่อาจต้องเปลี่ยนเป้าหมายชีวิต หรืออาจจะเป็นเวลาที่ต้องคิดถึงเป้าหมายชีวิตเป็นครั้งแรก

     ปีใหม่นี้จะมีความหมายอย่างไรตามที่ได้กล่าวมานั้น ล้วนเรียกร้องความเชื่อและความกล้าทั้งสิ้น เป้าหมายชีวิตคือสิ่งสำคัญในการกำหนดวิถีชีวิต เพราะเป้าหมายจะเป็นตัวบอกว่าเราควรเลือกอะไร เป็นตัววัดว่าเราได้ใช้ชีวิตในทางที่สอดคล้องหรือไม่ เป็นตัวที่ทำให้ชีวิตเรามีความหมาย เป้าหมายจึงเป็นตัวช่วยตัดสินว่าเราจะใช้เวลาอย่างไรและกับอะไร

     ฉะนั้นเนื้อหาของเป้าหมายจึงเป็นสิ่งที่เราต้องใส่ใจ บางคนบอกว่าเป้าหมายต้องใหญ่ ยิ่งใหญ่ยิ่งเรียกร้อง และยิ่งดึงศักยภาพของเราออกมา ประเด็นคือคำว่า 'ใหญ่' นั้นวัดด้วยอะไร อย่างรวดเร็วและบ่อยครั้งที่เราคิดว่าเป้าหมายที่ใหญ่มักจะวัดด้วยตัวเลขที่เกี่ยวกับสิทธิหรือความเป็นเจ้าของกับทุกอย่างที่เราจะมีหรือครอบครอง เช่นจำนวนเงินที่เราจะมี รุ่นรถ มูลค่าบ้าน สมาชิกภาพหรือแขกพิเศษของสโมสร หรือแม้แต่การมีเพื่อนที่เป็นคนมีชื่อเสียงและอิทธิพล เป็นต้น แต่ที่นี่ขอเสนอความใหญ่ที่เรียกว่า"ใหญ่กว่าตัวเอง"

     เป้าหมายที่ใหญ่กว่าตัวเองคือเป้าหมายที่คนอื่นๆนอกเหนือจากตัวเองจะได้ประโยชน์จากความสำเร็จของเป้าหมายนี้และจากการใช้ชีวิตของเราตามเป้าหมายนี้
     เป้าหมายจะใหญ่แค่ไหนก็ตามถ้ามีแต่ให้แค่ตัวเองได้ มันก็ใหญ่แค่ในขอบเขตของชีวิตเดียว หรือบางครั้งก็กลายเป็นคนโลภที่เอาแต่จะสะสมสิ่งของที่ตัวเองเข้าใจว่าตัวเองต้องมีเพื่อเป็นคนพิเศษ 

     แต่เป้าหมายที่ใหญ่กว่าตัวเองนั้น เป็นเป้าหมายที่เกี่ยวข้องมากกว่าคนคนเดียวที่จะได้ประโยชน์
ขอบเขตของมันจึงขยายทั้งไกลกว่า มากกว่า และนานกว่าสำหรับคนคนเดียว เช่นเราอาจมีคนมายกย่องในความสำเร็จในความร่ำรวยของเรา แต่ผู้ที่จะถูกผู้คนจดจำไปนานอาจถึงหลายชั่วอายุคนนั้น เป็นคนที่ใช้ชีวิตที่ทำให้คนอื่นได้ประโยชน์ บางครั้งยอมวางสิทธิของตัวเองลงเพื่อคนอื่นจะได้สิทธิของเขา บางครั้งยอมปล่อยวางโอกาสให้ผ่านไปเพื่อให้คนอื่นได้บ้าง คนเหล่านี้ต่างหากที่มี"เป้าหมายใหญ่" 

     เพราะฉะนั้นบางคนที่กำลังคิดถึงเป้าหมายชีวิตของตนเอง อาจต้องหยุดหรือชะลอเพื่อถามคำถาม เช่น "เราอยากมีเป้าหมายใหญ่แบบไหน" "เราอยากให้ชีวิตของเรามีความหมายอย่างไร" หรือ "เราอยากฝากอะไรไว้บ้างที่ยั่งยืนนานเกินช่วงชีวิตเราและที่คู่ควรกับการลงแรงชีวิตของเรา"
     ส่วนคนที่อาจรู้สึกว่าชีวิตของคุณเองเรียกร้องมากจนไม่มีแรงที่จะคิดถึงเป้าหมายนั้น ก็ขอเป็นกำลังใจว่าเวลาไหนก็ตามที่คุณได้คิดถึงหรือคิดเพื่อคนอื่นนั้น ชีวิตคุณมีความหมายขึ้นมาทันที ขออวยพรที่พระคุณจากพระเจ้าจะให้กำลังคุณที่จะทำตามสิ่งที่เกิดขึ้นในใจคุณในเวลานั้นๆ

14 กันยายน 2561

:รักแรก...ที่ไม่เคยเปลี่ยน

รักแรกกับใครบางคนมักเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ความรักนี้จะดึงหรือผลักดันเราที่จะให้ทุกอย่างแม้กระทั่งตัวเองออกไป เพราะรักคือการให้  แต่มนุษย์เราบ่อยครั้งดูแลรักษารักแรกไม่ค่อยเป็น อาจเป็นเพราะมันดีเกินสำหรับเราบางคนที่ไม่เคยมีสิ่งดีอย่างนี้ในชีวิต หลายคนจึงเจ็บจากรักแรก บางคนถึงขั้นละทิ้งความรักไปอย่างสิ้นเชิง ไม่กล้ารักอีก......

สาวกพระเยซูล้วนมีรักแรกที่บริสุทธิ์กับพระองค์ พวกเขาละทิ้งชีวิตตัวเองเพื่อมีชีวิตกับคนที่เขารัก แต่เวลาที่พระเยซูถูกจับและถูกตรึง.....พวกสาวกก็ละทิ้งรักแรกของพวกเขาไป  สิ่งอัศจรรย์ท่ามกลางความเจ็บปวดนี้คือพระเยซูยังรักพวกสาวกเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง พระเยซูอยู่ในรักแรกกับสาวกเสมอ หลังจากเป็นขึ้นจากความตาย พระเยซูเสี่ยงกลับไปหารักแรกของพระองค์ที่ทิ้งพระองค์ไป แม้บางคนเรียกร้องที่จะพิสูจน์ว่าเป็นพระเยซูที่เขาเคยรัก พระเยซูก็ยอม.....



ข่าวดีคือพระเยซูเข้าใจรักแรก เข้าใจความเจ็บปวด และรักเราด้วยรักแรกมาตลอด ไม่เคยเปลี่ยนแปลง พระคริสต์ในเราเป็นสิ่งยืนยันเสมอว่าเราเป็นรักแรกของพ่อตลอดกาล และด้วยความรักนี้เราสามารถหลุดจากความเจ็บจากความรักได้และมาเสี่ยงที่จะรักอีก เพราะพ่อก็เสี่ยงรักเราตลอด

(ยอห์น 1:11; 3:16; 2โครินธ์5:14; ฮีบรู13:8; วิวรณ์2:4)

12 กันยายน 2561

:ตาย...เพื่อเริ่มใหม่

บางครั้งการเผชิญความเจ็บปวดในใจ อาจหมายถึงการยอมรับว่ามีบางอย่างในชีวิตได้ตายไปแล้ว ไม่ใช่แค่สูญเสีย.. แต่เป็นการสูญเสียถึงขั้นตายไปเลยทีเดียว ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเพียงการสูญเสียทางกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสูญเสียความสัมพันธ์ ความรัก ความฝัน ฯลฯ
การยอมรับว่าสิ่งนั้นได้ตายไปแล้วจะทำให้​ 2 สิ่งเกิดขึ้น​ คือ ความเจ็บปวดจะมีเสรีภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ และ ชีวิตใหม่ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากความตายผ่านไป......


ภาพที่เห็นคือถ้าเราไม่ยอมรับว่าความเจ็บนั้นหมายถึงบางสิ่งบางอย่างได้ตายไป ก็เหมือนกับว่าเรากำลังกอดศพคนที่เรารักอยู่ ไม่ยอมรับว่าเขาตายไปแล้ว เราก็จะใช้ชืวิตโดยมีศพนี้อยู่กับเราตลอดเวลา ทำให้ชีวิตมีแต่ความเจ็บ
ความเศร้า ความหวังแบบลมๆแล้งๆ ความสับสนเป็นต้น แต่ถ้าเรายอมปล่อยมือให้เขาได้ถูกฝังไป  เราก็สามารถให้ความเจ็บออกมาได้เต็มที่ ช่วยหยุดความเหน็ดเหนื่อยจากคำโกหกทั้งหลาย มือของเราก็ว่างขึ้นที่จะกอดตัวเอง กอดคนอื่น และมีพื้นที่ให้คนอื่นมารักเรา กอดเราได้ และสุดท้ายชีวิตพระคริสต์ในเราก็จะเข้ามาแทนที่สิ่งที่ได้ตายไป เพราะการตายไม่ได้ยิ่งใหญ่​กว่า​ชีวิต​ของ​พระเยซู​ที่อยู่​ใน​เรา​

ในพระคริสต์​การตายไม่ใช่เป็น​จุด​จบของทุกอย่าง​ แต่เป็นการ​เริ่มต้น​ของชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิมต่างหาก​ ที่ได้ประจักษ์​ในพระเยซู​ผู้​ได้ผ่านไม้กางเขน​สู่​อุโมงค์​ว่างเปล่า​



คำถามคือว่าในความเจ็บของเรานั้นมีอะไรที่ควรต้องตายแต่เรายังกอดอยู่บ้างไหม......ถ้ามีขอเป็นกำลังใจว่าอย่ากลัวที่จะปล่อยมือและยอมรับว่าสิ่งนั้นตายไปแล้ว


ดังแบบแผนในพระคัมภีร์ :
ไม้กางเขน(ตาย) -> สามวัน -> อุโมงค์ว่างเปล่า(ชีวิตใหม่)

มล็ดต้องหล่นลงพื้นแล้วตายค่อยมีชีวิตใหม่เกิดขึ้น

" ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์​ " 
โรม 6:5 TNCV



10 กันยายน 2561

:ความสำเร็จ

แต่ประชากรไม่ฟังคำเตือนของซามูเอล พวกเขายืนกรานว่า “เราต้องการกษัตริย์ปกครอง เราจะได้เหมือนชาติอื่นๆ ทั้งปวงที่มีกษัตริย์นำไปรบทัพจับศึก”

1ซามูเอล 8:19‭-‬20




   เราทุกคนอยากจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ในความอยากนี้บางเวลาเราอาจเคยมองไปคนอื่นๆที่ประสบ"ความสำเร็จ" แล้วคิดว่าเราควรมีอะไรที่เหมือนพวกเขาเพื่อที่เราจะสำเร็จ เราจึงรีบที่จะเลียนแบบหรือไขว่คว้าหาสิ่งที่เขามีและเข้าใจว่า จะนำไปสู่ความสำเร็จได้เหมือนเข


   บางครั้งให้เราลองหยุดคิดและช้าลงที่จะพยายามเป็นเหมือนคนอื่น เพราะถ้าเราเร็วในการเลียนแบบหรือในการพยายามทำตัวให้เหมือนเขาโดยที่ไม่ได้ไตร่ตรองแรงจูงใจของเราเองว่าเราทำเพื่ออะไร เราอาจจะสูญเสียตัวตนเราไป เพราะ มัวแต่จะเป็นคนนั้น หรือบางครั้งก็อาจมองข้ามแผนงานหรือมุมมองของพระเจ้าที่เป็นความรัก เพราะหลายครั้งถ้ามองด้วยความรัก มันช่างแตกต่างจากท่าทีอื่นๆ

   ในท่าทีแห่งความรักของพระเจ้านั้นจะเริ่มจากการที่เรามีคุณค่าแล้ว และผู้อื่นก็มีค่าของเขา ความรักจากพระเจ้าให้เรารักคนอื่นๆเหมือนรักตนเอง จึงช่วยป้องกันเราจากการอิจฉาผู้อื่น หรือ ป้องกันเราจากการทะเยอทะยานเพื่อให้คุณค่ากับตัวเอง แต่มีเสรีภาพที่จะมาเรียนรู้จากผู้อื่นโดยที่ไม่กระทบถึงตัวตนของเราแต่เป็นโอกาสที่จะช่วยให้ตัวตนเราคมชัดขึ้น

   ด้วยท่าทีแห่งความรักนี้ เราอาจจะต้องหยุดคิดและถามด้วยว่า"ความสำเร็จ" หรือ สิ่งที่เรามองหา คืออะไร เพราะคำตอบของคำถามนี้จะเป็นสิ่งที่กำหนดหนทาง และ ช่วยตรวจสอบท่าทีของเรา ว่า ทำไมเราอยากได้สิ่งนี้


   ทั่วไป"ความสำเร็จ"คือการได้รับการยอมรับจากคนส่วนมากด้วยสิ่งที่เราทำและมี แต่ขอเสนอความคิดเห็นว่า เป็นไปได้ไหม....ความสำเร็จ คือ การใช้ชีวิตจากตัวตนเราบนความรักที่มีผลกระทบต่อชีวิตอื่นๆเพื่อให้ชีวิตของพวกเขามีตัวตนมากขึ้น