16 พฤษภาคม 2559

: โบสถ์มี 4 ลักษณะ

John Wimber ได้บอกไว้ว่าโบสถ์มีลักษณะ 4 อย่าง คือ โบสถ์เป็นทั้ง โรงเรียน โรงพยาบาล ครอบครัว และกองทัพ ลักษณะต่างๆมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน แต่สุดท้ายคือการออกไปสร้างสาวก เราจะมาดูกันแต่ละลักษณะเป็นอย่างไรแบบง่ายๆสั้นๆเพื่อให้เข้าใจกัน

โรงเรียนเป็นช่วงเวลาที่จะมีการสอนตามที่พระคัมภีร์ได้บอกไว้ใน มัทธิว 28:18-20 พระเยซูทรงเข้ามาหาพวกเขาและตรัสว่า “สิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์และในแผ่นดินโลกทรงมอบไว้แก่เราแล้ว ดังนั้นจงไปสร้างสาวกจากมวลประชาชาติ ให้เขารับบัพติศมาใน พระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้เชื่อฟังทุกสิ่งที่เราสั่งพวกท่านไว้ และแน่นอน เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปตราบจนสิ้นยุค” การสอนนั้นไม่ใช่เอาแต่ความรู้อย่างเดียวแต่เพื่อที่เราต่างเจอพระเจัา พบตัวเอง และเป็นผู้ที่มีชีวิตที่สะท้อนถึงพระคำ  ยากอบ 1:22-24 "อย่าเพียงแต่ฟังพระวจนะซึ่งเป็นการหลอกตัวเอง แต่จงปฏิบัติตามพระวจนะนั้น ผู้ใดที่ฟังพระวจนะแต่ไม่ได้ทำตาม ผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนที่ส่องกระจกมองหน้าตัวเอง หลังจากส่องดูแล้วก็ไปและทันใดนั้นก็ลืมว่าหน้าตาตนเองเป็นอย่างไร"
โรงพยาบาลคือเวลาแห่งการรักษาเยียวยาแบบองค์รวมทั้งกายใจและวิญญาณ พระคัมภีร์บอกไว้ว่าพระเยซูมาเพื่อ.. ลูกา 5:31-32 "พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “คนสุขภาพดีไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วยต้องการ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาปให้กลับใจใหม่”" การเยียวยาคือส่วนหนึ่งของความรอดเสมอ โรคภัยไข้เจ็บเป็นผลจากการล้มลงของมนุษย์ที่มนุษย์เอาตัวเองมาอยู่ภายใต้การครอบครองของมาร การเยียวยารักษาจึงเป็นการทำลายงานของมารตามที่พูดไว้ใน 1 ยอห์น 3:8 ".......เหตุที่พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาก็คือเพื่อทำลายกิจการของมาร " ทุกครั้งที่มีการรักษาเกิดขึ้นนั่นก็คือการครอบครองของพระเจ้าได้มาถึงคนๆนั้น

การเป็นครอบครัวคือความผูกพันในแบบความสัมพันธ์ที่พระคัมภีร์ได้เรียกว่า ครอบครัวของผู้เชื่อ เช่นใน 1เปโตร 2:17 "...จงรักพี่น้องในพระคริสต์...."  กาลาเทีย 6:10 "...คนที่อยู่ในครอบครัวแห่งความเชื่อ" โดยเฉพาะในกาลาเทีย 3:26 "ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้าโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ " ได้พูดอย่างชัดมากถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้เชื่อทั้งหลาย

กองทัพหมายถึงทั้งบุคคลและส่วนรวม เราต่างมีภารกิจในขณะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ภารกิจนั้นก็คือการนำข่าวดีของพระเยซูไปถึงทุกที่ที่เราไป และสร้างสาวกจากทุกชนชาติ 2 โครินธ์ 5:18 ".....ทรงมอบหมายพันธกิจแห่งการคืนดีนี้แก่เรา" ในความเป็นกองทัพนั้นเราจึงตั้งใจในการอบรม ฝึกฝน และส่งคนออกไปที่ต่างๆ และคาดหวังถึงโบสถ์ใหม่จะเกิดขึ้นเป็นผลต่อมาภายหลัง


จากสิ่งที่ได้เสนอไป โดยภาพรวมโบสถ์คือการแสดงออก และการทำงานของแผ่นดินของพระเจ้า หรือการครอบครองของพระเจ้าทั้งระดับส่วนตัว และกลุ่มคนที่เชื่อ เพราะฉะนั้นให้เราโดยส่วนตัวมีชีวิตที่เป็นโบสถ์คือให้เราเป็นทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล ครอบครัว และกองทัพ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของโบสถ์ที่เป็น การแสดงออกแบบส่วนรวมด้วย ....






3 พฤษภาคม 2559

: ใช้ชีวิตให้ถูกยุค ep 2

วินาทีที่อาดัมกับเอวาเลือกเชื่อมารนั้น ทั้งคู่ได้เลือกปฏิเสธผู้ที่สร้างและให้ชีวิตแก่พวกเขา ...


ปฏิเสธความจริงที่ว่าพวกเขามีค่าเพียงพอ และสุดท้ายคือปฏิเสธความสัมพันธ์กับคุณพ่อแบบที่เคยมี คือความสัมพันธ์แบบเปลือยกาย ไม่มีอะไรปกปิด ไม่มีที่ติ ทุกอย่างดีพอต่อกันและกัน การปฎิเสธนี้เท่ากับมนุษย์ได้ผลักพ่อออกไป แล้วพาตัวเองเข้าสู่ความเป็นศาสนา และมาอยู่ภายใต้มาร เป็นการประกาศว่าตั้งแต่นี้ต่อไปฉันเป็นตัวของฉันเองที่ดีพอได้ด้วยตัวฉันเอง และในเวลาเดียวกันก็ได้ปฎิเสธทุกอย่างที่พ่อได้ให้มาอย่างฟรีๆ มากไปกว่านั้นอีก คือมนุษย์ได้หันไปยอมต่อมารผู้ที่ไม่ได้ให้อะไรหรือทำอะไรดีๆให้กับมนุษย์เลย และยังเป็นผู้ที่มาแย่งความเป็นพ่อจากพระเจ้าอีกด้วย


ความรู้สึกของพ่อที่โดนปฎิเสธนี้คงเหมือนกับการถูกหักหลังจากเพื่อนสนิท เหมือนบางอย่างที่สำคัญและมีความหมายมากมายในชีวิตได้หายไป เหมือนถูกทอดทิ้งโดยไม่มีเยื่อใย หรือจะเหมือนเวลาที่ยูดาสจุมพิษพระเยซูก่อนที่เขาเดินไปขายพระเยซูหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางความเจ็บปวดนี้สิ่งหนึ่งได้เกิดขึ้นในสวนเอเดน นั่นคือ ทั้งๆที่พ่อรู้ว่าลูกได้ปฎิเสธพ่อและได้มองพ่อเปลี่ยนไป พ่อยังเลือกที่จะเป็นผู้เข้าหาลูกก่อน พ่อเดินเข้าไปในสวนเพื่อเรียกหาลูก จากนั้นพ่อก็เปิดโอกาส รอให้ลูกตอบสนอง แต่ลูกก็ยังเชื่อว่าตัวเองไม่ดีพอสำหรับพ่อ จนไม่กล้าออกมาหาเพราะกลัวพ่อรับเขาไม่ได้ ณ เวลานั้นหัวอกพ่อก็อดไม่ได้ที่ถามลูกว่า "ใครบอกว่าลูกเปลือยกาย" ซึ่งก็เหมือนกับถามว่า "ใครบอกว่าลูกไม่ดีพอ - ถึงขั้นกลัวพ่อแล้วไม่กล้าเข้ามาหาพ่อเลย" เวลานั้นหัวอกพ่อคนนี้คงแตกสลายและเจ็บปวดยิ่งนักทั้งจากการถูกปฏิเสธและความเจ็บปวดแทนลูกเมื่อเห็นเขาตกอยู่ในความทุกข์  สิ่งมหัศจรรย์คือพ่อคนนี้ยังเอาความเจ็บปวดที่ถูกปฏิเสธเป็นรอง แต่เลือกที่จะดำเนินแผนเพื่อช่วยลูกให้หลุดจากมาร เพื่อวันหนึ่งลูกจะหันกลับบ้านคือเปิดใจให้พ่อเข้ามาอยู่ด้วย 

ตลอดเวลาจากการล้มลงของมนุษย์นั้นพ่อไม่เคยทิ้งลูก มีแต่อดทนรอ ให้เสรีภาพที่จะเลือก มีแต่มาพูด มาเตือน มาช่วย มาคลุกคลีในสภาพที่ลูกเป็นอยู่ มาทำสัญญากับลูกในแบบที่ลูกรับได้ซึ่งก็เพื่อช่วยให้ลูกรู้ว่าลูกทำด้วยตัวเองไม่ได้ และสุดท้ายเพื่อลูกจะพร้อมรับสัญญาใหม่ที่พ่อเตรียมไว้ให้เป็นทางกลับบ้าน เพราะสัญญาใหม่นี้จะไม่ขึ้นกับการกระทำของลูกเลย แต่ล้วนเป็นการช่วยเหลือของพ่อผ่านความเชื่อของลูกเท่านั้น การกระทำของพ่อทั้งหมดนี้สะท้อนอย่างชัดเจนถึงคำว่า "ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข" เพราะในขณะที่ลูกเลือกปฎิเสธพ่อๆก็ยังรักและให้เสรีภาพ ความรักของพ่อแบบนี้เป็นความรักที่ไม่อาจเรียกร้องอะไรได้เลย จึงถือว่าเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข 



โดยการตายและเป็นขึ้นของพระเยซู พ่อได้เริ่มพันธสัญญาใหม่กับเราเพื่อให้เป็นทางกลับบ้านของเรา เพราะฉะนั้นให้เราที่เป็นผู้เชื่อมั่นใจได้ว่าพ่อรักเราตลอดด้วย"ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข"  และไม่ต้องสงสัยหรือสับสนว่าเราดีพอที่พ่อยังจะรักเราหรือไม่ โดยเฉพาะในเวลาที่เราไม่สามารถรักตัวเองได้ เพราะความรักที่ไม่มีเงื่อนไข คือ พระคุณ ไม่ได้ขึ้นกับการกระทำของเรา นี่แหละคือพันธสัญญาใหม่.......... 


ขอบคุณครับพ่อ !!