ในช่วงที่พระเยซูมีชีวิตอยู่นั้น ชาวยิวถือพระคัมภีร์เดิมอย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะพวกฟาริสี แต่สิ่งที่พระเยซูกระทำนั้น
พระเยซูกลับใช้ชีวิตที่ไม่ได้มีท่าทีเคร่งครัดและเชื่อฟังตามพระคัมภีร์แบบชาวยิว เช่น รักษาโรคในวันสะบาโต
แตะต้องคนที่ถือว่าเป็นมลทิน เลือกที่จะไม่ลงโทษแต่ให้อภัยต่อคนที่ผิดบาป บางเวลาก็อ้างอิงพระคัมภีร์แบบไม่ครบถ้วน ยิ่งไปกว่านั้นในมัทธิวบทที่5พระเยซูแถมมาเปลี่ยนพระคัมภีร์อีก ในมัทธิว 5 ก็จะมีคำพูดดังนี้หลายครั้งว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า... แต่เราบอกท่านว่า... "
ซึ่งแต่ละครั้งพระเยซูกำลังเปลี่ยนกฎบัญญัติ
เพราะฉะนั้นจากการกระทำและคำพูดของพระเยซู
พระเยซูกำลังแสดงถึงพระองค์มีสิทธิ์อำนาจเหนือพระคัมภีร์แม้ว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า
ดูเหมือนว่าพระคัมภีร์ยังต้องสยบต่อพระเยซู
ถ้างั้นบทบาทของพระคัมภีร์ควรจะเป็นอย่างไร ประการแรกคือแน่นอนพระคัมภีร์ไม่ใช่พระเจ้า นั่นก็หมายความว่าพระเจ้าองค์เดียวของผู้เชื่อทั่งหลาย
นั้นคือพระเยซูไม่ใช่พระคัมภีร์ เราถูกเรียกให้มาเชื่อฟังและนมัสการพระองค์ผู้เดียวไม่ใช่พระคัมภีร์ "มีกายเดียวและพระวิญญาณองค์เดียวเหมือนกับที่ทรงเรียกท่านมาสู่ความหวังเดียวเมื่อทรงเรียกท่าน
มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว
มีพระเจ้าองค์เดียวผู้ทรงเป็นพระบิดาของทั้งปวง
ผู้ทรงอยู่เหนือทั้งมวล ทั่วทั้งสิ้น และในทั้งหมด" เอเฟซัส 4:4-6
ประการที่สอง
ผู้ที่มีสิทธิ์อำนาจสูงสุดคือพระเยซู
ไม่ใช่พระคัมภีร์
"... สิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์และในแผ่นดินโลกทรงมอบไว้แก่เราแล้ว..." มัทธิว 28:18
ประการที่สาม
"พระคัมภีร์ทุกตอน ได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสั่งสอน
การว่ากล่าวตักเตือน การแก้ไขข้อบกพร่อง และการฝึกฝนในความชอบธรรม
เพื่อเตรียมคนของ
พระเจ้าให้พรักพร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง"
2ทิโมธี 3:16-17
จากข้อนี้วัตถุประสงค์หนึ่งของพระคัมภีร์คือเปรียบเหมือนเป็นเครื่องมือสำคัญในการเตรียมคนให้พร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง
ประการที่สี่
เราอาจต้องมาเข้าใจว่าหลายๆครั้งคำว่า "พระคำ" "พระวาทะ" หรือคำใดๆที่ผ่านมาในพระคัมภีร์ที่เราเข้าใจว่าคือพระคัมภีร์นั้นโดยเฉพาะที่ได้ถูกมอบหมายความสำคัญเป็นพิเศษ เช่น
"ขณะที่ท่านยึดมั่นในพระวจนะแห่งชีวิตเพื่อข้าพเจ้าจะอวดได้ในวันแห่งพระคริสต์ว่าข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งหรือลงแรงโดยเปล่าประโยชน์" ฟีลิปปี 2:16
ควรจะหมายถึงพระเยซูแทนที่จะเป็นพระคัมภีร์ เพราะ พระเยซูผู้เดียวที่ให้ชีวิต
ตามพระคัมภีร์ดังนี้
"เราประกาศแก่ท่านถึงพระวาทะแห่งชีวิตซึ่งดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน
ได้เห็นกับตา ได้พินิจดู และได้สัมผัสด้วยมือของเรา"
1ยอห์น 1:1 TNCV
และ "ท่านขยันศึกษา พระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าโดยพระคัมภีร์ท่านจะได้ชีวิตนิรันดร์
พระธรรมเหล่านั้นคือพระคัมภีร์ที่เป็นพยานเกี่ยวกับเรา
กระนั้นพวกท่านก็ไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต" ยอห์น 5:39-40 TNCV
ประการที่ห้า
จากข้อพระคัมภีร์ที่ว่า
"ดังนั้นบทบัญญัติได้รับมอบหมายหน้าที่ให้นำเรามาถึงพระคริสต์ เพื่อเราจะได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ"กาลาเทีย 3:24 TNCV
พระคัมภีร์มีเพื่อเปรียบเหมือนเป็นทางผ่านให้ไปถึงพระเยซู ไม่ใช่จุดหมายปรายทางของเรา
พระเยซูต่างหากที่เป็น
"ไม่เคยมีใครเห็นพระเจ้า มีแต่พระบุตรเพียงองค์เดียวของพระองค์ ผู้ที่เป็นพระเจ้าเองและอยู่ใกล้ชิดกับพระบิดาด้วย ได้เปิดเผยพระเจ้าให้เรารู้จัก"ยอห์น
1:18
พระคัมภีร์ข้อนี้ได้ประกาศว่าไม่มีใครสามารถรู้จักพระเจ้าได้เว้นแต่ว่าคนนั้นได้พบกับพระเยซู สอดคล้องกับข้อพระคัมภีร์ที่พระเยซูเองได้บอกไว้ว่า
"พระเยซูบอกว่า “เราเป็นทางนั้น
เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีใครไปถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา" ยอห์น 14:6
พระเยซูจึงเปรียบเสมือนเป็นจุดหมายปลายทางของเราโดยที่มีพระคัมภีร์เป็นสะพานให้เราเชื่อมต่อไปยังเป้าหมายเดินทางของเรา
เพราะฉะนั้นให้เราอย่าหลงใหลหยุดพักกับทางผ่านแต่ให้เดินผ่านเพื่อจะชื่นชมกับจุดหมายปลายทางที่ให้ชีวิตกับเราดีกว่า