17 กันยายน 2561

:ใหญ่กว่าตัวเอง

ปีใหม่ได้เริ่มแล้ว สำหรับบางคนอาจใช้เวลานี้คิดถึงทิศทางชีวิตของตัวเองว่ากำลังเดินมาถูกทางไหม หรือดูว่าตัวเองได้เข้าใกล้สู่เป้าหมายแค่ไหน หรือสำหรับบางคนคือเวลาที่อาจต้องเปลี่ยนเป้าหมายชีวิต หรืออาจจะเป็นเวลาที่ต้องคิดถึงเป้าหมายชีวิตเป็นครั้งแรก

     ปีใหม่นี้จะมีความหมายอย่างไรตามที่ได้กล่าวมานั้น ล้วนเรียกร้องความเชื่อและความกล้าทั้งสิ้น เป้าหมายชีวิตคือสิ่งสำคัญในการกำหนดวิถีชีวิต เพราะเป้าหมายจะเป็นตัวบอกว่าเราควรเลือกอะไร เป็นตัววัดว่าเราได้ใช้ชีวิตในทางที่สอดคล้องหรือไม่ เป็นตัวที่ทำให้ชีวิตเรามีความหมาย เป้าหมายจึงเป็นตัวช่วยตัดสินว่าเราจะใช้เวลาอย่างไรและกับอะไร

     ฉะนั้นเนื้อหาของเป้าหมายจึงเป็นสิ่งที่เราต้องใส่ใจ บางคนบอกว่าเป้าหมายต้องใหญ่ ยิ่งใหญ่ยิ่งเรียกร้อง และยิ่งดึงศักยภาพของเราออกมา ประเด็นคือคำว่า 'ใหญ่' นั้นวัดด้วยอะไร อย่างรวดเร็วและบ่อยครั้งที่เราคิดว่าเป้าหมายที่ใหญ่มักจะวัดด้วยตัวเลขที่เกี่ยวกับสิทธิหรือความเป็นเจ้าของกับทุกอย่างที่เราจะมีหรือครอบครอง เช่นจำนวนเงินที่เราจะมี รุ่นรถ มูลค่าบ้าน สมาชิกภาพหรือแขกพิเศษของสโมสร หรือแม้แต่การมีเพื่อนที่เป็นคนมีชื่อเสียงและอิทธิพล เป็นต้น แต่ที่นี่ขอเสนอความใหญ่ที่เรียกว่า"ใหญ่กว่าตัวเอง"

     เป้าหมายที่ใหญ่กว่าตัวเองคือเป้าหมายที่คนอื่นๆนอกเหนือจากตัวเองจะได้ประโยชน์จากความสำเร็จของเป้าหมายนี้และจากการใช้ชีวิตของเราตามเป้าหมายนี้
     เป้าหมายจะใหญ่แค่ไหนก็ตามถ้ามีแต่ให้แค่ตัวเองได้ มันก็ใหญ่แค่ในขอบเขตของชีวิตเดียว หรือบางครั้งก็กลายเป็นคนโลภที่เอาแต่จะสะสมสิ่งของที่ตัวเองเข้าใจว่าตัวเองต้องมีเพื่อเป็นคนพิเศษ 

     แต่เป้าหมายที่ใหญ่กว่าตัวเองนั้น เป็นเป้าหมายที่เกี่ยวข้องมากกว่าคนคนเดียวที่จะได้ประโยชน์
ขอบเขตของมันจึงขยายทั้งไกลกว่า มากกว่า และนานกว่าสำหรับคนคนเดียว เช่นเราอาจมีคนมายกย่องในความสำเร็จในความร่ำรวยของเรา แต่ผู้ที่จะถูกผู้คนจดจำไปนานอาจถึงหลายชั่วอายุคนนั้น เป็นคนที่ใช้ชีวิตที่ทำให้คนอื่นได้ประโยชน์ บางครั้งยอมวางสิทธิของตัวเองลงเพื่อคนอื่นจะได้สิทธิของเขา บางครั้งยอมปล่อยวางโอกาสให้ผ่านไปเพื่อให้คนอื่นได้บ้าง คนเหล่านี้ต่างหากที่มี"เป้าหมายใหญ่" 

     เพราะฉะนั้นบางคนที่กำลังคิดถึงเป้าหมายชีวิตของตนเอง อาจต้องหยุดหรือชะลอเพื่อถามคำถาม เช่น "เราอยากมีเป้าหมายใหญ่แบบไหน" "เราอยากให้ชีวิตของเรามีความหมายอย่างไร" หรือ "เราอยากฝากอะไรไว้บ้างที่ยั่งยืนนานเกินช่วงชีวิตเราและที่คู่ควรกับการลงแรงชีวิตของเรา"
     ส่วนคนที่อาจรู้สึกว่าชีวิตของคุณเองเรียกร้องมากจนไม่มีแรงที่จะคิดถึงเป้าหมายนั้น ก็ขอเป็นกำลังใจว่าเวลาไหนก็ตามที่คุณได้คิดถึงหรือคิดเพื่อคนอื่นนั้น ชีวิตคุณมีความหมายขึ้นมาทันที ขออวยพรที่พระคุณจากพระเจ้าจะให้กำลังคุณที่จะทำตามสิ่งที่เกิดขึ้นในใจคุณในเวลานั้นๆ

14 กันยายน 2561

:รักแรก...ที่ไม่เคยเปลี่ยน

รักแรกกับใครบางคนมักเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ความรักนี้จะดึงหรือผลักดันเราที่จะให้ทุกอย่างแม้กระทั่งตัวเองออกไป เพราะรักคือการให้  แต่มนุษย์เราบ่อยครั้งดูแลรักษารักแรกไม่ค่อยเป็น อาจเป็นเพราะมันดีเกินสำหรับเราบางคนที่ไม่เคยมีสิ่งดีอย่างนี้ในชีวิต หลายคนจึงเจ็บจากรักแรก บางคนถึงขั้นละทิ้งความรักไปอย่างสิ้นเชิง ไม่กล้ารักอีก......

สาวกพระเยซูล้วนมีรักแรกที่บริสุทธิ์กับพระองค์ พวกเขาละทิ้งชีวิตตัวเองเพื่อมีชีวิตกับคนที่เขารัก แต่เวลาที่พระเยซูถูกจับและถูกตรึง.....พวกสาวกก็ละทิ้งรักแรกของพวกเขาไป  สิ่งอัศจรรย์ท่ามกลางความเจ็บปวดนี้คือพระเยซูยังรักพวกสาวกเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง พระเยซูอยู่ในรักแรกกับสาวกเสมอ หลังจากเป็นขึ้นจากความตาย พระเยซูเสี่ยงกลับไปหารักแรกของพระองค์ที่ทิ้งพระองค์ไป แม้บางคนเรียกร้องที่จะพิสูจน์ว่าเป็นพระเยซูที่เขาเคยรัก พระเยซูก็ยอม.....



ข่าวดีคือพระเยซูเข้าใจรักแรก เข้าใจความเจ็บปวด และรักเราด้วยรักแรกมาตลอด ไม่เคยเปลี่ยนแปลง พระคริสต์ในเราเป็นสิ่งยืนยันเสมอว่าเราเป็นรักแรกของพ่อตลอดกาล และด้วยความรักนี้เราสามารถหลุดจากความเจ็บจากความรักได้และมาเสี่ยงที่จะรักอีก เพราะพ่อก็เสี่ยงรักเราตลอด

(ยอห์น 1:11; 3:16; 2โครินธ์5:14; ฮีบรู13:8; วิวรณ์2:4)

12 กันยายน 2561

:ตาย...เพื่อเริ่มใหม่

บางครั้งการเผชิญความเจ็บปวดในใจ อาจหมายถึงการยอมรับว่ามีบางอย่างในชีวิตได้ตายไปแล้ว ไม่ใช่แค่สูญเสีย.. แต่เป็นการสูญเสียถึงขั้นตายไปเลยทีเดียว ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเพียงการสูญเสียทางกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสูญเสียความสัมพันธ์ ความรัก ความฝัน ฯลฯ
การยอมรับว่าสิ่งนั้นได้ตายไปแล้วจะทำให้​ 2 สิ่งเกิดขึ้น​ คือ ความเจ็บปวดจะมีเสรีภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ และ ชีวิตใหม่ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากความตายผ่านไป......


ภาพที่เห็นคือถ้าเราไม่ยอมรับว่าความเจ็บนั้นหมายถึงบางสิ่งบางอย่างได้ตายไป ก็เหมือนกับว่าเรากำลังกอดศพคนที่เรารักอยู่ ไม่ยอมรับว่าเขาตายไปแล้ว เราก็จะใช้ชืวิตโดยมีศพนี้อยู่กับเราตลอดเวลา ทำให้ชีวิตมีแต่ความเจ็บ
ความเศร้า ความหวังแบบลมๆแล้งๆ ความสับสนเป็นต้น แต่ถ้าเรายอมปล่อยมือให้เขาได้ถูกฝังไป  เราก็สามารถให้ความเจ็บออกมาได้เต็มที่ ช่วยหยุดความเหน็ดเหนื่อยจากคำโกหกทั้งหลาย มือของเราก็ว่างขึ้นที่จะกอดตัวเอง กอดคนอื่น และมีพื้นที่ให้คนอื่นมารักเรา กอดเราได้ และสุดท้ายชีวิตพระคริสต์ในเราก็จะเข้ามาแทนที่สิ่งที่ได้ตายไป เพราะการตายไม่ได้ยิ่งใหญ่​กว่า​ชีวิต​ของ​พระเยซู​ที่อยู่​ใน​เรา​

ในพระคริสต์​การตายไม่ใช่เป็น​จุด​จบของทุกอย่าง​ แต่เป็นการ​เริ่มต้น​ของชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิมต่างหาก​ ที่ได้ประจักษ์​ในพระเยซู​ผู้​ได้ผ่านไม้กางเขน​สู่​อุโมงค์​ว่างเปล่า​



คำถามคือว่าในความเจ็บของเรานั้นมีอะไรที่ควรต้องตายแต่เรายังกอดอยู่บ้างไหม......ถ้ามีขอเป็นกำลังใจว่าอย่ากลัวที่จะปล่อยมือและยอมรับว่าสิ่งนั้นตายไปแล้ว


ดังแบบแผนในพระคัมภีร์ :
ไม้กางเขน(ตาย) -> สามวัน -> อุโมงค์ว่างเปล่า(ชีวิตใหม่)

มล็ดต้องหล่นลงพื้นแล้วตายค่อยมีชีวิตใหม่เกิดขึ้น

" ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์​ " 
โรม 6:5 TNCV



10 กันยายน 2561

:ความสำเร็จ

แต่ประชากรไม่ฟังคำเตือนของซามูเอล พวกเขายืนกรานว่า “เราต้องการกษัตริย์ปกครอง เราจะได้เหมือนชาติอื่นๆ ทั้งปวงที่มีกษัตริย์นำไปรบทัพจับศึก”

1ซามูเอล 8:19‭-‬20




   เราทุกคนอยากจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ในความอยากนี้บางเวลาเราอาจเคยมองไปคนอื่นๆที่ประสบ"ความสำเร็จ" แล้วคิดว่าเราควรมีอะไรที่เหมือนพวกเขาเพื่อที่เราจะสำเร็จ เราจึงรีบที่จะเลียนแบบหรือไขว่คว้าหาสิ่งที่เขามีและเข้าใจว่า จะนำไปสู่ความสำเร็จได้เหมือนเข


   บางครั้งให้เราลองหยุดคิดและช้าลงที่จะพยายามเป็นเหมือนคนอื่น เพราะถ้าเราเร็วในการเลียนแบบหรือในการพยายามทำตัวให้เหมือนเขาโดยที่ไม่ได้ไตร่ตรองแรงจูงใจของเราเองว่าเราทำเพื่ออะไร เราอาจจะสูญเสียตัวตนเราไป เพราะ มัวแต่จะเป็นคนนั้น หรือบางครั้งก็อาจมองข้ามแผนงานหรือมุมมองของพระเจ้าที่เป็นความรัก เพราะหลายครั้งถ้ามองด้วยความรัก มันช่างแตกต่างจากท่าทีอื่นๆ

   ในท่าทีแห่งความรักของพระเจ้านั้นจะเริ่มจากการที่เรามีคุณค่าแล้ว และผู้อื่นก็มีค่าของเขา ความรักจากพระเจ้าให้เรารักคนอื่นๆเหมือนรักตนเอง จึงช่วยป้องกันเราจากการอิจฉาผู้อื่น หรือ ป้องกันเราจากการทะเยอทะยานเพื่อให้คุณค่ากับตัวเอง แต่มีเสรีภาพที่จะมาเรียนรู้จากผู้อื่นโดยที่ไม่กระทบถึงตัวตนของเราแต่เป็นโอกาสที่จะช่วยให้ตัวตนเราคมชัดขึ้น

   ด้วยท่าทีแห่งความรักนี้ เราอาจจะต้องหยุดคิดและถามด้วยว่า"ความสำเร็จ" หรือ สิ่งที่เรามองหา คืออะไร เพราะคำตอบของคำถามนี้จะเป็นสิ่งที่กำหนดหนทาง และ ช่วยตรวจสอบท่าทีของเรา ว่า ทำไมเราอยากได้สิ่งนี้


   ทั่วไป"ความสำเร็จ"คือการได้รับการยอมรับจากคนส่วนมากด้วยสิ่งที่เราทำและมี แต่ขอเสนอความคิดเห็นว่า เป็นไปได้ไหม....ความสำเร็จ คือ การใช้ชีวิตจากตัวตนเราบนความรักที่มีผลกระทบต่อชีวิตอื่นๆเพื่อให้ชีวิตของพวกเขามีตัวตนมากขึ้น