18 กุมภาพันธ์ 2557

: ถูกพ่อทิ้ง

เย็นวันหนึ่งได้มีเวลาพูดคุยกับลูกๆ พิมและพอล และเพื่อนๆของเขาที่โตมาด้วยกัน คุยไปคุยมาก็คุยถึงหัวข้อเรื่องพ่อ แรกๆก็พบว่ามีเด็กจำนวนนึงที่เรารู็จักและอาจจะใช้คำว่าพวกเขาไม่มีพ่ออยู่ด้วยกันในบ้าน แต่ขณะพูดคุยต่อ เราก็เปลี่ยนเป็นว่าพวกเขาถูกพ่อทิ้ง เพราะในเด็กหลายๆคนนั้น ตอนแรกๆพ่อก็ให้เหตุผลต่างๆเช่น พ่อต้องไปหาเงิน พ่อมีบัญหากับแม่หรือภรรยาเขา ปู่กับย่าต้องการพ่อให้ไปดูแล หรือ พ่อบางคนก็ไปโดยไม่ได้ให้เหตุผลใดๆ แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พวกเราในวงสนทนานั้นใด้สังเกตว่า แทบจะไม่มีพ่อคนไหนเลยที่จะพยายามติดต่อเพื่อใช้เวลากับลูก


บางคนแปลกมาก แรกๆบอกว่าต้องไปหาเงินให้ลูก แต่ก็ไม่ได้ส่งเงินให้ลูก ก็อาจจะยังหาไม่ใด้ (สมัยก่อนมีแต่ได้ยินว่าพ่อยอม อดเพื่อลูกได้กิน สมัยนี้คงเปลี่ยนไป) แต่บางคนยังใช้ชีวิตอย่างสบาย ขนาดถ้าได้แบ่งบางส่วนมาให้ลูกบ้าง ลูกก็คงไม่ต้องอยู่อย่างลำบาก แต่ก็ไม่ได้แบ่ง เราจึงเปลี่ยนเป็น 'พ่อทิ้ง'

หากเรามารู้สึกหรือคิดแทนเด็กที่เป็นลูกว่า จริงๆแล้วเขาต้องการอะไรกันแน่ เด็กคนนึงไม่รู้หรอกว่ารวยหรือจนสำคัญแค่ไหนสำหรับเขา พ่อกับแม่มีปัญหากันก็คงยากที่ลูกจะเข้าใจว่าแล้วทำไมพ่อต้องหายไปจากเขาด้วย

การที่คนสำคัญมากๆคนนึงอยู่ดีๆหายไป จะมีใครมาเล่นกับลูกด้วยเหมือนพ่อ ใครจะเข้าใจเสียงหัวเราะของลูกเหมือนพ่อ ใครจะปลอบใจในเวลาลูกเจ็บได้ดีเท่าพ่อ ใครจะทำให้ความสุขของลูกเต็มอิ่มใด้เท่าพ่อ โดยเฉพาะในเวลาที่เขาอยากแป่งบันความสำเร็จ เช่น ก้าวแรกของเขา คำแรกของเขา การขึ้นชั้นเรียนใหม่ของเขา ใครจะให้ความภูมิใจกับลูกได้เท่าพ่อ ไม่มีใคร

การเป็นพ่อนั้นเป็นอะไรที่พิเศษมาก คนๆหนึ่งเมื่อใด้เป็นพ่อ ก็เหมือนกับเป็นตัวแทนของพระเจ้าให้กับชีวิตๆหนึ่ง สิ่งที่ลูกต้องการก็คือพ่อที่รักเขาและอยู่กับเขาเสมอ....

ขอให้กำลังใจกับเด็กๆหรือใครก็ตามที่ถูกพ่อทิ้งว่า มีข่าวดี คือ เพราะพระคริสต์ได้ตายบนกางเขนแล้วเป็นขึ้นมา เราทุกคนที่เชื่อก็เป็นลูก ส่วนคนที่เป็นพ่อ ขออวยพรที่คุณจะเข้าใจและมีประสบการณ์ที่ถูกรักจากพระเจ้าที่เป็นพ่อ และขอเป็นกำลังใจที่จะกล้ารักและแสดงออกกับลูกของคุณ

8 กุมภาพันธ์ 2557

: การติดสนิทกับพระเจ้า




ครั้งนี้อยากเขียนถึงสิ่งที่คริสเตียนได้พูดกันมากและมีหนังสือมากมายที่ได้เขียนถึงเรืองนี้ ซึ่งก็คือ"การติดสนิทกับพระเจ้า" จำได้ถึงตอนที่เชื่อพระเยซูใหม่ๆ ช่วงนั้นชีวิตมีความสุขมาก รู้สึกถึงความอิ่มจากภายใน ชีวิตนี้ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว อิ่มเสียจนใด้ไปบอกเลิกกับแฟนที่ไม่เป็นคริสเตียนและที่กำลังมีปัญหาในความสัมพันธ์ ไม่กลัวการสูญเสียเลย เวลานั้นบอกได้ว่ารู้สึกตัวเองถูกรักอย่างมากจากพระเจัาแม้ยังมองตัวเองไร้ค่าก็ตาม ความรักนี้ได้เรื่มเปลี่ยนชีวิตของผม เวลานั้นชอบโบสถ์มาก ชอบพี่น้องในโบสถ์ ชอบนมัสการ ชอบไปกลุ่มย่อย ชอบฟังและคุยเรื่องพระเจ้า โดยเฉพาะตอนดึกหลังเลิกงานเวลาเดินกลับบ้านคนเดียว เป็นช่วงเวลาที่พิเศษมาก เป็นเวลาที่ผมจะพูดคุยกับพระเจ้าพร้อมกับร้องเพลงนมัสการไปด้วย

พอเวลาผ่านไประยะหนึ่งก็เริ่มได้ยินคำสอนจากหลายคนที่รู้จักพระเจ้ามานานกว่าเราและเราก็เชื่อมั่นในสิ่งที่เขาสอนด้วย คำสอนจากพวกเขาจะบอกให้คนที่เป็นผู้เชื่อนั้นต้องทำหลายกิจกรรมเช่นไปโบสถ์ อ่านพระคัมภีร์ ฯลฯ ทั้งหมดที่ให้ทำก็ "เพื่อที่เราจะติดสนิทกับพระเจ้า" พอฟังบ่อยๆเข้าก็คิดว่ามันคงยังมีอะไรที่ดีกว่าที่เราได้รับมา เลยเริ่มทำกิจกรรมเหล่านั้นด้วยท่าทีเพื่อหวังว่าจะไปถึง
"การสนิทกับพระเจ้า" ซึ่งแตกต่างจากตอนแรกที่ทำไปเพื่อตอบสนองความสุขที่ได้รับ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ใดๆเลย

พยายามทำและอยู่ในท่าทีความเข้าใจอย่างนั้นมาหลายปีเลย บางครั้งจะมีประสบการณ์พิเศษ เช่นมีความเข้าใจใหม่ๆจากการอ่านพระคัมภีร์ จะรู้สึกถึงความรักที่พระเจ้ามีให้กับเราขณะที่กำลังทำหรือร่วมพิธีกรรมต่างๆในเวลานมัสการอยู่ในโบสถ์ ในที่ประชุมที่มีคนพิเศษมาสอนหรือเทศนา แต่ประสบการณ์กับความรู้สึกพิเศษเหล่านี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้ง อีกด้านหนึ่งของคำสอนนี้ก็บอกเป็นนัยว่าถ้าเราไม่ทำพิธีหรือกิจกรรมเหล่านี้เราก็จะห่างจากพระเจ้า ความเข้าใจนี้ทำให้ผมรู้สึกกลัวและฟ้องผิดอยู่เสมอโดยเฉพาะเวลาที่เราไม่ค่อยทำสิ่งเหล่านั้นและหรือทำบาปเยอะในช่วงชีวิตนั้น
ให้เรามาหยุดคิดและถามคำถามกันหน่อยเกี่ยวกับคำสอนนี้เพื่อที่จะเข้าใจ 
  • อะไรเป็นตัววัดว่าเราได้ติดสนิทกับพระเจ้าแล้ว เป็นประสบการณ์พิเศษเหล่านั้นหรือเปล่า ?
  • ถ้าใช่นั่นหมายความว่าการติดสนิทกับพระเจ้าคือการมีประสบการณ์และความรู้สึกพิเศษซึ่งทำให้เราต้องแสวงหาสิ่งเหล่านั้นอยู่เสมอๆหรือ ? 
  • แล้วการจะสนิทกับพระเจ้านั้นขึ้นกับเราฝ่ายเดียวเองหรือเปล่า ? 
  • เราต้องทำแค่ไหนค่อยพอ? 
  • ทำไมต้องทำอะไรก่อนจึงค่อยสนิทได้ ? 
  • สนิทแค่ไหนค่อยพอ ?
  • สนิทนานแค่ไหน? (เพราะคำสอนนี้กำลังพูดเป็นนัยว่าบางเวลาเราก็สนิท บางเวลาเราก็ไม่สนิท) 
  • เราที่เป็นผู้ถูกสร้างจะเป็นตัวกำหนดกับผู้สร้างได้ด้วยหรือ? 
  • แล้วการตายของพระเยซูมีความหมายอะไรในประเด็นนี้ ?

พระคัมภีร์บอกว่าเราที่เป็นผู้เชื่อนั้นเปรียบเหมือนแขนงและพระเจ้าเป็นเถา ภาพนี้ไม่ใช่การบอกว่าเรากับพระเจ้าสนิทกันแล้วดั่งเช่นแขนงกับเถาหรือ เป็นไปได้ไหมที่พระคัมภีร์บอกให้ "คงอยู่ในเรา" คือการประกาศถึงสถานภาพที่แท้จริงของเรากับพระเจ้า และพระคัมภีร์กำลังบอกให้เราใช้ชีวิตตอบสนองต่อความจริงนี้ 

ครั้งนี้มีคำถามเยอะหน่อย แต่ก็อยากฟังคำตอบจากคุณ ครั้งหน้าจะมาดูหัวข้อนี้อีกครั้งจากมุมมองการตายของพระเยซู

6 กุมภาพันธ์ 2557

: ตัวช่วย



ตอนรับเชื่อใหม่ๆมีความสุขมาก (พูดอย่างกับตอนนี้ไม่สุข อิอิ) บางทีมองชีวิตตัวเองตั้งแต่มีพระเจ้ามาจนถึงวันนี้ก็เหมือนชีวิตคู่ของผม ระหว่างผมกับภรรยา 


วันแต่งงานนั้นมีความสุขแบบหาจากที่ไหนไม่ได้และความตื่นเต้นที่อีกไม่นานเราจะได้อยู่กับคนที่เรารักบวกกับการรอคอยจากการเตรียมตัวสำหรับวันนั้นมาระยะหนึ่ง กับความรู้สึกที่เหมือนกับใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางอันสวยงามของการเดินทางนึง แน่นอนที่ต้องมีความกลัวกับความกังวลกับคำถามมากมาย เช่น อนาคตเค้ากับเราจะเป็นอย่างไร ต่างคนต่างจะเปลี่ยนไปไหม 

ตอนนี้ก็ผ่านไปได้มากกว่ายี่สิบปีแล้ว จำได้มีวันหนึ่งได้คิดและมองไปที่ชีวิตคู่ แล้วก็รู้สึก(ขอใช้คำนี้)ยำเกรงพระเจัาขึ้นมา เพราะไม่ใช่แค่รอดมาได้หลายปี  แต่ความอัศจรรย์คือตอนนี้รักภรรยาและมีความสุขมากกว่าวันที่แต่งงานอีก ที่บอกยำเกรงพระเจ้านั้นก็เพราะรู้อย่างชัดว่าไม่ใช่ด้วยความสามารถหรือสิ่งใดของเราทั้งสองที่จะอวดได้ โดยเฉพาะท่ามกลางสังคมรวมถึงผู้เชื่อที่มีการหย่าร้างและแตกแยกมากมาย มันง่ายมากที่เราทั้งสองจะมีสิทธิอยู่ในส่วนนั้นซึ่งน่ากลัวมาก จึงขอบอกว่ายำเกรงจริงๆและขอบคุณพระเจ้าด้วย 

                   ความสุขและความรักที่มากขึ้นนั้นเป็นแบบเดียวกับตอนเริ่มต้นไหม ? แน่นอนไม่เหมือน !! 
เพราะเราทั้งสองได้ผ่านหลายรสชาติแห่งกาลเวลา เวลามีสุข.. เวลามีทุกข์.. เวลาเฉลิมฉลอง.. เวลาขัดแย้ง.. เวลาสงสัย.. เวลาผิดหรือถูก.. เวลาสิ้นหวัง.. เวลาที่เดินด้วยความเชื่อ.. หรือเวลาที่เดินด้วยหน้าที่อย่างเดียว.. และเชื่อว่าจะมีเวลาอื่นๆที่ต้องผ่านอีกในอนาคต แต่การได้ผ่านเวลาต่างๆเหล่านี้ด้วยกันเป็นองค์ประกอบสำคัญส่วนหนึ่งที่ให้ความรักกับความสุขของเราสองคนได้โตขึ้น 
                 โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ลำบากนั้น ระดับความเชื่อที่มีต่อพระเจ้าก็แต่งต่างกันไป บ่อยครั้งจะรู้สึกว่าความกลัวความกังวลและอารมณ์ต่างๆนั้นเยอะกว่าความเชื่อเสียอีก แล้วความรู้สึกกับความคิดก็จะพาเราไปทางของเราเองมากกว่าทางของพระเจ้า ยิ่งกว่านั้นความรู้สึกที่ดีๆต่อกันและกันในเวลาเหล่านั้นมันช่างหายาก 


ในช่วงนั้น บางทีก็ดูเหมือนตัวเองทำอะไรถูก บางทีก็เป็นอีกฝ่ายหนึ่งที่ทำให้ผ่านเหตุการณ์นั้นไปได้ บางเวลาก็เหมือนพระเจ้ากำลังทำบางอย่างอยู่ แต่บางครั้งก็ไม่รู้ผ่านมาได้อย่างไร แล้วค่อยมาเรียนรู้ทีหลัง หรือผ่านไประยะหนึ่งค่อยสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง เช่นได้เห็นถึงความไม่ดีของตัวเอง มองภรรยามีคุณค่ามากกว่าเดิมหรืออย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน รักและเข้าใจความรักของพระเจ้ามากขึ้น 

พอเขียนถึงตรงนี้ก็คิดถึงคำถามว่ามีอะไรที่เป็นตัวช่วยชัดๆ .. นอกเหนือจากตัวเราเองกับพระเจ้า  
  • ตัวช่วยที่เป็นกำลังใจในเวลาที่เราท้อ 
  • ตัวช่วยที่เชื่อเราในเวลาที่เราสงสัยตัวเอง 
  • ตัวช่วยที่โอบกอดเราในเวลาที่เรารู้สึกโดดเดี่ยว 
  • ตัวช่วยที่ฟังในเวลาที่เหมือนไม่มีใครฟังเรา 
  • ตัวช่วยที่แสดงความจริงในเวลาที่เราสับสน หรือบางครั้งถึงขั้นเป็นผู้พยุงเราเดินในเวลาที่เราหมดทั้งแรงกายและแรงใจ 


พูดอีกแบบหนึ่งก็คือ ... ผู้ช่วยนี้เปรียบเหมือนเป็นตัวแทนพระเจ้าที่มารักเรา ที่เราสามารถแตะต้องสัมผัสและเห็นได้ด้วยตาของเรา  ผู้ช่วยนั้นก็คือพี่น้องในพระคริสต์ ผู้ที่บางครั้งก็แตกต่างกับเรามาก บางคนพูดคนละภาษากับเรา บางคนต่างวัยกับเราอย่างมาก บางคนอาจจะต่างฐานะในสังคมกับเรา และบางคนก็มีรสนิยมที่แตกต่างกับเราอย่างที่เราไม่สามารถเข้าใจได้ นี่คงเป็นสิ่งที่อัศจรรย์จริงๆในพระเจ้า อัศจรรย์ที่พระเจ้าสามารถรักเรา ช่วยเรา สัมผัสส่วนลึกของเราผ่านพระคริสต์ที่อยู่ในคนทั้งหลายที่แตกต่างจากเรา!!!

ขอบคุณพระเจ้าที่ชีวิตใหม่ในพระคริสต์นั้น พระเจ้าไม่ได้ให้เราเดินคนเดียว หรือเป็นชีวิตที่เราต้องพิสูจน์อยู่เสมอว่าเราทำได้ เพราะในความเป็นจริงคือบนไม้กางเขนพระเยซูได้ทำทุกอย่างแล้วเพื่อให้เราดีพอและเพื่อให้เราอยู่ในพระคริสต์ร่วมกันเป็นพระกาย ผูกพันกัน รักกัน ร่วมกันในชีวิตใหม่ในพระคริสต์ 

อยากฟังว่าคุณมีอะไรในชีวิตที่ทำให้คุณยำเกรงพระเจ้าบ้าง อยากฟังเรื่องราวของคุณที่เคยเจอตัวแทนของพระเจ้ามารักคุณ และอยากฟังเรื่องราวที่คุณเป็นตัวแทนของพระเจ้าให้กับคนอื่น....

5 กุมภาพันธ์ 2557

: คงไม่ใช่เรา ...  !!!



                                   ก่อนมารู้จักพระเจ้านั้น ตัวผมก็ไม่ได้ถูกสอนหรือแสดงให้เห็นถึง การให้กับ "คนบาป" นอกเหนือจากการให้กับขอทานริมถนน การเป็นเพื่อนกับพวกเขานั้นยิ่งเป็นสิ่งที่เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งไปเลย เมื่อได้รู้จักพระเจ้า ก็ไม่มีการให้ที่แสดงออกอย่างชัดเจนในคจ.หรือผ่านคจ.  ส่วนมากก็คือการรวบรวมเงินให้กับหน่วยงานหรือกับคนที่ทำอะไรใกล้ชิดกับคนเห่ลานั้น  ยากไปกว่านั้นก็คือไม่ได้พบใครที่สอนอย่างชัดเจนจากพระคัมภีร์เกี่ยวกับหัวใจของพระเจ้าที่มีให้กับคนกลุ่มนี้ 


                                  บรรยากาศนี้ตอกย้ำเป็นนัยๆว่าใครก็ตามที่จะใช้เวลานำพระเจ้าให้กับพวกเขา คงไม่ใช่เรา คงต้องเป็นคนพิเศษอย่างที่ได้เขียนถึงในตอนก่อนๆ แม้ความเข้าใจจะเป็นอย่างนั้น ลึกๆก็คิดว่าคงจะตื่นเต้นมากถ้าได้เห็นพระเจ้าแตะต้องพวกเขา จนกระทั่งได้ฟังแจ๊คกี้ พูลลิงเจอร์-โต (ผู้เขียนหนังสือแก๊งแดนมังกร) แบ่งปันพระคัมภีร์และประสบการณ์ที่พระเจ้าช่วยเหลือคนติดยาในฮ่องกงอย่างอัศจรรย์ การแบ่งปันของเธอนั้นทำให้เข้าใจพระคัมภีร์ในมุมที่ไม่เคยได้ยินและเห็นมาก่อน ยิ่งกว่านั้นได้สัมผัสถึงสิทธิอำนาจจากเธอเพราะเธอแบ่งปันจากชีวิต ไม่ใช่เป็นแค่ข้อมูล จากนั้นมีโอกาสเชิญสองคนจากทีมแจ๊คกี้ที่เคยติดเฮโรอีนมากกว่าสิบปีมาร่วมประชุมในคจ. และในประชุมนั้นก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นและมีประสบการณ์กับพระวิญญาณอย่างใกล้ชิดโดยมีการใช้ของประทานฯจากทีมของแจ๊คกี้ 

                                   สิ่งที่มีความหมายมากขึ้นคือพระเจ้าใช้คนที่สังคมรังเกียจการศึกษาน้อยเข้าออกเรือนจำเป็นว่าเล่น มาเป็นพระพรกับพวกเราที่มีเกียรติมีหน้ามีตาในสังคม รู้สึกถึงพระคุณอย่างมาก จากนั้นไม่นานก็พาตัวเองไปร่วมงานของแจ๊คกี้ที่ฮองกงโดย ตั้งใจจะเรียนรู้เรื่องพระวิญญาณ ของประทานฯและการดูแลคนติดยา ในเวลาไม่กี่เดือนนั้นได้เห็นการอัศจรรย์ ได้เริ่มใช้ของประทานฯ แต่ในการดูแลคนติดยานั้นกลายเป็นว่าตัวเองเป็นผู้ได้รับพระพรจากพวกเขา และพบว่าตัวเองก็เป็นผู้เสพย์ติดผู้หนึ่งไม่แตกต่างจากพวกเขา เพียงแต่สิ่งที่ผมเสพย์ติดนั้นไม่ใช่เฮโรอีนแต่เป็นสิ่งที่ปกปิดได้ง่ายกว่าเนื่องด้วยวิถีชีวิต กำลังทรัพย์ ฯลฯ 

การได้พบตัวเองและพบพระเจ้านั้นทำให้เรายิ่งรู้ถึงพระคุณ

               สุดท้ายชีวิตผมก็เปลี่ยนไป เรียนรู้ว่าจริงๆแล้วไม่มีใครดีกว่าใคร เราต่างเป็นคนเสพย์ติด เราต่างต้องการพระเจ้าทั้งนั้น แลัวคุณล่ะครับ เสพย์ติดอะไร พระเจ้าพร้อมที่จะให้ชีวิตใหม่เสมอ

: ของประทานฯ กับการปรนนิบัติคนจน



คืนนี้มีแรงบันดาลใจมาเขียนต่อจากครั้งที่แล้ว จากตอนที่ ๒  ผมขอพระเจ้าให้ผมเห็นคนบาปเหล่านั้นในชีวิตรอบข้างผมนอกจากตัวเอง และยิ่งไปกว่านั้นขอพระคุณเพื่อผมจะเป็นเพื่อนของพวกเขาด้วย ลำพังด้วยตัวเองมันเป็นไปไม่ใด้อย่างแน่นอน ตั้งแต่ได้รู้จักพระเจ้าผมได้ยินคำสอนที่มีเหตุผลหลากหลายที่สุดท้ายก็ทำให้เรามองข้ามคนกลุ่มนี้ไป เช่น 



1. ให้เราสนใจคนกลุ่มอื่นเพราะพวกเขาก็จน คือ จนฝ่ายวิญญาณ ซึ่งก็ถูกต้องที่ใครก็ตามที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าก็จนฝ่ายวิญญาณทุกคน แต่สิ่งที่เราได้พบจากพระคัมภีร์ตามที่ได้แบ่งปันในสองตอนที่แล้วว่าพระเยซูได้เจาะจงให้ความสนใจกับคนบาปที่รวมถึงคนที่จนฝ่ายกายอย่างชัดเจน นอกเหนือจากกลุ่มคนที่จนฝ่ายวิญญาณด้วย

2. ก
ารใส่ใจและการปรนนิบัติต่อคนบาปเหล่านั้นเป็นของประทานฯ ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ หรือ บางคนก็จะพูดง่ายๆว่าผมไม่มีของประทานฯนี้ คนเหล่านี้ก็จะเน้นแต่สิ่งที่ถนัดหรือชอบ ซึ่งน้อยคนที่จะรู้และมั่นใจว่าตัวเองมีของประทานฯอะไร มีผู้เชื่อเยอะมากที่ใช้เวลานานในการค้นหาแต่แล้วก็ไม่มีคำตอบให้กับตัวเอง 
 และสิ่งที่ประหลาดในวงการคริสเตียนไทยก็คือของประทานฯที่เด่นชัดนอกจากจะมีไม่กี่อย่างแล้วยังมีแค่ในคนกลุ่มเล็กๆเท่านั้น แล้วดูเหมือนว่าของประทานฯ  ก็จะเป็นตัวกำหนดหน้าที่ไปในตัว เช่น ของประทานฯการเป็นผู้ประกาศ ของประทานฯการเป็นศิษยาภิบาล ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะเข้าใจของประทานฯอย่างไรก็ตาม 


ในพระคัมภีร์กาลาเทีย บทที่ 2 ได้บันทึกว่าในขณะที่ผู้นำยอมรับและส่งคนออกไปประกาศข่าวประเสริฐ คนหนึ่งประกาศกับคนต่างชาติ อีกคนประกาศกับคนยิว ผู้นำก็ยังย้ำว่าอย่าลืมคนจน ซึ่งเปาโลบอกว่านี่ก็เป็นสิ่งที่เขากระตือรืนล้นจะทำอยู่แล้ว จากตรงนั้นเราก็ได้เห็นว่าการประกาศและการปรนนิบัติคนจนเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของคริสตจักรซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับของประทานฯเลย 
             แล้วถ้าเรามาดู 1โครินธ์ 12-14โดยเฉพาะบท14 ข้อ1ที่ให้เราใฝ่หาของประทานฯอย่างกระตือรืนล้นเพื่อประโยชน์ร่วมกัน สุดท้ายไม่ใช่ว่าตัวเรามีของประทานฯอะไรแต่ด้วยความรักและความเชื่อ เรายอมร่วมงานกับพระเจ้าผู้มีทุกอย่างที่จะทำผ่านตัวเราเองเพื่อคนอื่นจะได้รับประโยชน์

             คิดอย่างไรกับเหตุและผลที่ผมได้เสนอ ...... ? 

: คนที่ดึงดูดพระเยซู



              เป็นไปใด้ไหมว่ามีคนกลุ่มอื่นที่เราในฐานะสาวกของพระเยซูและคริสตจักรของพระองค์ใด้มองข้ามหรือเข้าใจพวกเขาผิดไปในบริบทของแผนการณ์ของพระเจ้าและคริสตจักร แต่เป็นกลุ่มคนที่สำคัญมากในหัวใจของพระเจ้าดังเราจะเห็นพระคัมภีร์บันทึกว่าพระเยซูใด้ใส่ใจคนกลุ่มนี้อย่างมาก บางครั้งพระเยซูเองก็ถูกข่มเหงและถูกพิพากษาเพราะใช้เวลากับคนกลุ่มนี้ กระนั้นพระเยซูก็ไม่ได้หยุดหรือลดน้อยลงในการให้เวลาและทำการอัศจรรย์กับคนกลุ่มนี้ ตอนพระเยซูมีชีวิตอยู่นั้นพระเยซูถึงกับมีฉายาว่า "เพื่อนของคนบาป" ซึ่งในที่นี้   ถ้าใครอ่านพระคัมภีร์ก็รู้ว่าคนบาปนี้หมายถึงคนหลายประเภท เช่น คนป่วยด้วยโรคที่สังคมรังเกียจหรือโรคที่สังคมพิพากษาว่าโรคนั้นเป็นผลจากความบาปของผู้ป่วย คนที่มีอาชีพที่ผิดศีลธรรมแล้วนำสู่ความรังเกียจหรือการปฏิเสธและพิพากษาจากคนในสังคมโดยเฉพาะจากกลุ่มคนที่เคร่งครัดกับการปฎิบัติในสิ่งที่เขาเชื่อหรือคนที่มีอาชีพพร้อมอำนาจในสังคมที่โกงกินคนชาติเดียวกัน นอกจากนั้นยังมีคนต่างชนชั้น คนต่างความเชื่อ คนต่างชาติ คนที่มีวิถีชีวิตที่ด้อยโอกาส สกปรก และพึ่งคนอื่นในการใช้ชีวิตแต่ละวัน ฯลฯ




               สิ่งแรกที่พระเยซูทำกับคนบาปเหล่านี้คือ  ประกาศถึงปีแห่งความโปรดปรานจากพระสัญญาในอิสยาห์แล้วบอกอย่างชัดว่าพระคัมภีร์ตอนนี้ได้สำเร็จแล้ว (ลูกา ๔:๒๑) เราก็เห็นด้วยว่าพระเยซูไม่ได้มาพิพากษาหรือปฏิเสธพวกเขา แต่กลับมาใส่ใจพวกเขา กินกับพวกเขา เยียวยาพวกเขา ให้ชีวิตใหม่กับพวกเขา เป็นเพื่อนพวกเขา ถึงขั้นยอมตายเพื่อพวกเขา

              พอเขียนถึงตอนนี้ก็ อดไม่ใด้ที่รู้สึกอิจฉาคนกลุ่มนี้ที่ถูกเรียกว่าคนบาป .... เพราะดูเหมือนพวกเขาดึงดูดพระเยซูมาก และต้องหยุดถามตัวเองว่าเราเองเป็นส่วนหนึ่งในคนกลุ่มนี้รึเปล่า แต่ละกลุ่มของคนบาปที่บรรยายนั้นคือใครในพระคัมภีร์ แล้วปัจจุบันคนเหล่านี้คือใครในชีวิตและสังคมที่เราอยู่ ?? 

: พระพรโตรอนโต กับคริสตจักร

อยู่ดีๆก็มีความคิดบางอย่างและอยากเขียนเพื่อให้คนอื่นได้อ่านด้วย อย่างที่รู้ว่าผมใช้เวลานานในการเขียน เลยอยากแบ่งปันเป็นตอนๆ ไม่รู้กี่ตอน ถ้ามีการตอบสนองจากผู้อ่านดี ก็จะเป็นกำลังใจให้เขียนต่อไป โดยเฉพาะเวลาที่มีแรงบันดาลใจ อิอิ


ตอนที่๑

                  ตั้งแต่ปี 1995 ที่มีพระพรโตรอนโตเกิดขึ้นในประเทศไทยมีคนจำนวนหนึ่งได้พูดหรือพยากรณ์ว่า  การฟื้นฟูจะเกิดขึ้นในหมู่วัยรุ่นหรือคนรุ่นต่อไปและก็มีคำแนะนำจากหมู่อาจารย์และผู้นำใหักับผู้บุกเบิกคริสตจักรให้ประกาศเจาะจงกับวัยรุ่นหรือนักเรียนนักศึกษาเพราะคนกลุ่มนี้จะเป็นกำลังให้กับคริสตจักร และก็มีบางคริสตจักรก็จะเน้นกลุ่มคนที่เขาเรียกว่าปลาใหญ่ก็คือคนที่มีฐานะนอกเหนือจากคนกลุ่มแรกที่เราพูดถึง ทั้งสองกลุ่มล้วนถูกอ้างว่าเป็นกำลังสำคัญในด้านกำลังกาย เวลาและเงินให้กับคริสตจักรและการขยายของคริสตจักรสู่นิมิตที่พระเจ้าได้ให้ไว้   ... แต่พอพูดแบบนี้แล้วก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะฉนั้นก่อนที่จะพูดต่อไปผมขอใช้เวลาหน่อยพูดถึงความไม่สบายใจข้างต้น ที่รู้สึกไม่สบายใจเพราะกลายเป็นว่าคนสองกลุ่มนี้ถูกมองเหมือนเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้เพื่อองค์กรที่เราเรียกว่า "คริสตจักร"  ดูเหมือนคุณค่าของคนถูกลดลงอย่างไรไม่รู้ จึงอยากถามว่า "คริสตจักรคืออะไร?"  คริสตจักรมีเพื่อคน? หรือ คนมีเพื่อคริสตจักร ? 

                   ในพระคัมภีร์เขียนชัดมากว่าให้เราออกไปสร้างสาวก ประกาศข่าวดีของแผ่นดินของพระเจ้า สอนและบัพติสมาพวกเขาจนถึงปลายสุดแผ่นดินโลก ไม่เคยเห็นให้ไปบุกเบิกและสร้างคริสตจักร แต่ในพระคัมภีร์ใด้พูดถึงว่าในขณะที่สาวกออกไปประกาศ "พระผู้เป็นเจ้าทรงให้คนทั้งหลายที่กำลังจะได้ความรอดมาเข้ากับพวกเขา" พอคนที่ใด้รับความรอดเข้ากับพวกสาวก กลุ่มคนก็เกิดขึ้น มีความสัมพันธ์ด้วยกัน ผูกพันกัน ใช้ชีวิตด้วยกัน แบ่งปันสิ่งของ เงินทอง เวลาให้กันและกัน และร่วมเดินทางชีวิตไปด้วยกัน ชุมชนอย่างนี้เราจะใช้คำอะไรมาบรรยาย องค์กรหรืออะไร แล้วกลับไปคำถามเดิม ถ้าคจ.เป็นชุมชนอย่างที่ใด้บรรยาย คริสตจักรมีเพื่อคนหรือคนมีเพื่อคริสตจักร ..

: สองเหตุการณ์ที่น่าสนใจ ..

ตอนที่ 1.1

                           
                            วันที่บัญญัติลงมาจากเขา 3,000 คนตาย วันที่พระวิญญาณลงมามี 3,000 คนได้ชีวิตใหม่ สองเหตุการนี้คงไม่ใช่บังเอิญ แต่บอกถึงอะไรบ้างระหว่าง บัญญัติกับพระวิญญาณ แล้วถ้าเรามีความสัมพันธ์กับคนอยู่บนบัญญัติ จะออกมาเป็นอย่างไร ....

4 กุมภาพันธ์ 2557

:: เกี่ยวกับบล็อค



KINGDOM SQUARE :: คิงด้อมสแควร์

               

    .......................................

         ในยุคที่ยังไม่มีเทคโนโลยีที่ช่วยกระจายข่าวสารให้แพร่หลายถึงกัน หลายๆประเทศมักจะมีสถานที่เปิดโล่งกว้างในใจกลางเมือง ที่นอกจากจะใช้เป็นที่ตั้งตลาดของเมืองนั้นแล้ว จะถูกใช้เป็นที่ที่คนทั้งหลายมาเจอกันเพื่อส่งข่าวสาร เสนอและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สถานที่อย่างนี้มักจะเรียกว่าสแควร์   ความคิดของคิงด้อมสแควร์จึงเกิดขึ้น เป็นพื้นที่ในโลกไซเบอร์ที่ความคิดเกี่ยวกับคิงด้อม(แผ่นดินของพระเจ้า)และการงานต่างๆที่พระเยซูได้ทำสำเร็จแล้วทั้งบนกางเขนกับการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ จะถูกนำเสนอและแลกเปลี่ยนกัน                                        
           หวังว่าจากสิ่งที่เกิดขึ้นในบล็อกนี้จะทำให้ทุกคนได้พบความจริงของพระเยซูและข่าวประเสริฐมากขึ้นซึ่งจะนำสู่ชีวิตที่เต็มด้วยเสรีภาพ ฤทธิ์เดช และการนมัสการพระเจ้า
                                                                                  ......................................