28 กุมภาพันธ์ 2559

: อุปนิสัย vs ความสามารถ และของประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์


คนเราทั่วไปจะมองหาความสำเร็จ หรือไม่ก็อยากเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ โดยเฉพาะความสำเร็จที่มาอย่างรวดเร็ว ความสำเร็จในบริบทนี้หมายถึงการ
เกิดผลที่เห็นได้ชัดเจน เช่น ในปริมาณ และสิ่งภายนอกที่เรามองเห็น หรือจับต้องได้ ดังนั้นความสามารถจึงเป็นตัวดึงดูดคน เพราะความสามารถคือการงาน ที่มีเป้าหมายเพื่อการผลิตผลงานต่างๆออกมาให้เห็นและชื่นชม ซึ่งผลงานแต่ละชิ้นจะเรียกร้องเวลาที่แตกต่างกันในการผลิตผลงานนั้น บางชิ้นอาจจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับความสามารถ และความยากของผลงานนั้น ความสามารถเป็นทักษะ ซึ่งบางทักษะก็เป็นทักษะที่คนส่วนใหญ่สามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้ แต่มีบางทักษะที่คงจะมีแต่คนที่มีพรสวรรค์ที่จะเรียนรู้ และพัฒนาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ส่วนเรื่องอุปนิสัยนั้นก็จะเป็นสิ่งที่แตกต่างจากความสามารถอย่างมาก อุปนิสัยเป็นอะไรที่ไม่ใช่มองเห็นได้ภายในเวลาอันสั้น อุปนิสัยไม่ใช่การงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อมาผลิตผลงานชิ้นใดชิ้นหนึ่ง อุปนิสัยคือพลังที่อยู่ภายในเราไม่ใช่เป็นทักษะภายนอกของเรา อุปนิสัยเป็นสิ่งที่ออกมาจากการที่เรามองตัวเองว่าเราคือใคร และเป็นคนอย่างไร อุปนิสัยจึงเป็นตัวกำหนดว่าเราจะมีความสัมพันธ์อย่างไรระหว่างเรากับทุกสิ่งที่อยู่รอบๆชีวิตเรา  เช่น อุปนิสัยจะบอกเองว่าเราเป็นคนอย่างไร ในความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนในครอบครัว ความสัมพันธ์กับเพื่อน ความสัมพันธ์กับหน้าที่การงาน ความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น อุปนิสัยถูกก่อตัวในเราผ่านกาลเวลา และ ประสบการณ์ในด้านต่างๆที่นำความคิด ความเข้าใจ อารมณ์เข้ามาในตัวตนที่อยู่ในเรา และแสดงออกมาผ่านพฤติกรรมของเรา แต่ระคนจึงมีอุปนิสัยที่แตกต่างกันซึ่งเป็นผลจากสิ่งที่มีอิทธิพลต่อเราในอดีต 

ทั้งความสามารถ/Gifting กับ อุปนิสัย/Character เป็นสิ่งสำคัญในชีวิตส่วนตัว และระดับส่วนรวม เช่นคริสตจักร เพราะต่างก็เป็นปัจจัยในการดำเนินชีวิตของเราและในสังคมที่เราอยู่ ซึ่งก็หมายถึงว่าถ้าเราเข้าใจผิดในการดูแลสองสิ่งนี้ แทนที่จะเป็นพรให้ตัวเองกับคนอื่น กลับกลายเป็นความเจ็บปวดที่บางครั้งถึงขั้นโบสถ์แตกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงจำเป็นที่ต้องมาดูในพระคัมภีร์ที่ได้มีการพูดถึงหลักการในการมอง ดูแล และจัดการ ทั้งสองสิ่งนี้ 1 โครินธ์ 13:1-4 บอกไว้ว่า ใครก็ตามที่มีความสามารถ หรือ ทำอะไรได้เยอะแค่ไหนก็ตาม "....แม้ข้าพเจ้ายกทรัพย์สินทั้งหมดให้คนยากไร้และยอมพลีกายให้เอาไปเผาไฟ แต่ไม่มีความรัก ก็เปล่าประโยชน์" คริสตจักรโครินธ์ มีการใช้ของประทานฯมากมาย เรียกว่าคงจะทำให้เราปัจจุบันทึ่ง แต่คริสตจักรก็ถูกเปาโลว่ายังไม่โตแถมยังมีอาการแตกแยก จากตรงนี้เราสามารถพูดได้ว่าของประทานฝ่ายพระวิญญาณไม่ใช่เป็นตัวบ่งบอกว่าคนคนนั้นมีอุปนิสัยที่โตเป็นผู้ใหญ่เพียงพอที่จะรองรับความรับผิดชอบ         ในยากอบ 3:1 "...อย่าตั้งตัวเป็นอาจารย์กันให้มากนักเลย..." เพราะสิ่งสำคัญไม่ใช่ความรู้หรือวิธีการพูด และการสอน แต่คือ "ถ้าผู้ใดในพวกท่านฉลาดและมีความเข้าใจ ก็ให้เขาแสดงออกมาโดยการดำเนินชีวิตที่ดี โดยการกระทำอันถ่อมสุภาพซึ่งมาจากสติปัญญา" นั่งก็คือการดำเนินชีวิต เขาใช้ชีวิตอย่างไร ตรงกับที่สอนไหม ความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นอย่างไร และความสัมพันธ์อื่นๆด้วย ซึ่งจากที่นี่ได้เห็นถึงว่าสิ่งสำคัญคือการใช้ชีวิตที่ชี้ถึงอุปนิสัยที่ดี แล้วอุปนิสัยจึงเป็นตัววัดว่าคำสอนของเขานั้นเป็นความจริงหรือเป็นของปลอม สุดท้ายใน 1 ทิโมธี 3 ได้เตือนไว้ว่าถ้าจะเลือกผู้นำ นอกจากที่ไม่ใช่ผู้เชื่อใหม่แล้วให้เรามองไปที่อุปนิสัยของคนที่เราจะเลือกผ่านชีวิตส่วนตัวของเขา ก่อนที่จะมอบหมายความรับผิดชอบพร้อมตำแหน่งในการใช้ความสามารถเขา 

เราจึงสรุปได้ว่าอุปนิสัยดีเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าความสามารถหรือของประทานฯ คนที่มีความสามารถแต่ขาดอุปนิสัยที่ดีก็อาจเป็นปัญหามากกว่าเป็นพระพร เพราะฉะนั้นขอให้เราช้าในการแต่งตั้งหรือมอบเวทีให้เขาก่อนที่เราจะได้เห็นถึงอุปนิสัยของคนที่เรามองไว้ อย่ามองแต่ความสามารถของเขาอย่างเดียว คนที่มีอุปนิสัยแต่ด้อยความสามารถ เรายังสอนและให้ทักษะแก่เขาได้ แต่คนที่มีความสามารถแต่ด้อยอุปนิสัยกลับมีโอกาสสูงที่จะสร้างปัญหาให้กับคนรอบข้างได้ เราต้องการทั้งสองในความสัมพันธ์ที่เหมาะสม พระคัมภีร์ที่บรรยายได้เห็นภาพชัด คือ 1 โครินธ์ 14:1 "จงดำเนินในวิถีแห่งความรักและใฝ่หาของประทานฝ่ายจิตวิญญาณอย่างกระตือรือร้น โดยเฉพาะการเผยพระวจนะ" ให้เราทุกคนใฝ่หา ความสามารถเพื่อส่วนรวม แต่ให้เรามีความรักในการใช้ความสามารถนั้น ....










ไม่มีความคิดเห็น: