14 กันยายน 2559

: ชีวิตที่เหนือธรรมชาติ


ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเริ่มประกาศ "จงกลับใจใหม่เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว" เพื่อ "เตรียมทางสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า จงทำทางสำหรับพระองค์ให้ตรงไป" (มัทธิว 3:1-3) ยอห์นรู้ดีอย่างมากถึงบทบาทของตัวเอง แม้ยอห์นได้ทำผลงานอย่างดีเยี่ยมในการประกาศ แต่เขาก็ชัดเจนเสมอว่าเขามาเพื่อเตรียมทางให้กับผู้ที่สำคัญกว่าเขา และประกาศว่า"ภายหลังเราจะมีผู้หนึ่งทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งกว่าเราเสด็จมา เราไม่คู่ควรแม้แต่จะถือฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้ท่านทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ" (มัทธิว 3:11) ยอห์นยอมรับว่าเวลาของเขาแค่ชั่วคราว และพร้อมที่จะลดบทบาทลงเมื่อผู้ทรงฤทธิ์มาถึง 



ในขณะที่ยอห์นกำลังเตรียมทางและรอการมาของผู้ทรงฤทธิ์นั้น ภารกิจของพระเยซูก็เริ่มถูกกล่าวถึงกันมากขึ้น "กิตติศัพท์เรื่องนี้ของพระเยซูก็เลื่องลือไปทั่วแคว้นยูเดียและดินแดนโดยรอบ พวกสาวกของยอห์นมาเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านั้น" (ลูกา 7:17-18) รายงานของสาวกทำให้ยอห์นสนใจขึ้นมาว่าผู้นี้ใช่เป็นผู้ที่เขารอคอยหรือเปล่า จึง "ส่งเขาไปทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ท่านคือผู้ที่จะมานั้นหรือเราจะต้องคอยผู้อื่น?” (ลูกา 7:19) สิ่งที่น่าสนใจอย่างมากคืออะไรเป็นสิ่งพิสูจน์ว่าพระเยซูคือผู้นั้น พระเยซูรู้ว่าตัวเองคือใครและพร้อมที่จะแสดงตัวให้ยอห์นรับรู้ สิ่งที่พระเยซูใช้พิสูจน์ว่าตัวเองคือผู้ทรงฤทธิ์ก็คือการประกาศ(ใช้ถ้อยคำ)เรื่องข่าวประเสริฐ และสิ่งอัศจรรย์เหนือธรรมชาติที่พระเยซูทำ(ใช้การงาน) "จงกลับไปรายงานสิ่งที่ท่านได้เห็นได้ยิน...คือคนตาบอดมองเห็นได้ คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายจากโรค คนหูหนวกกลับได้ยิน คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และข่าวประเสริฐได้ประกาศแก่คนยากไร้ " (ลูกา 7:22) การอัศจรรย์ที่พระเยซูทำเป็นการสาธิตถึงข่าวประเสริฐที่ได้ประกาศออกไป ข่าวประเสริฐจึงไม่ใช่แค่คำพูดอย่างเดียวแต่มีการงานหรือการกระทำที่แสดงออกมาตามคำพูดด้วย "เพราะข่าวประเสริฐของเรามาถึงท่านไม่ใช่เพียงด้วยถ้อยคำเท่านั้น แต่ด้วยฤทธิ์อำนาจ..." (1 เธสะโลนิกา 1:5) "...ข่าวประเสริฐคือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า..." (โรม 1:6)

แม้พระเยซูในเวลานั้นเป็นตัวเป็นตนที่จับต้องได้มองเห็นได้  การพิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นใครยังคือการประกาศข่าวประเสริฐที่มีการอัศจรรย์เหนือธรรมชาติมาสนับสนุน ไม่ใช่สิ่งอื่นหรือวิธืใดเลย ไม่ใช่ด้วยเรื่องตระกูล ไม่ใช่ว่ามาจากธรรมศาลาไหน ไม่ใช่ด้วยการศึกษา ไม่ใช่ด้วยจำนวนคนติดตาม ไม่ใช่ด้วยวาจา ไม่ใช่ด้วยเงินทอง แต่ด้วยการทำการอัศจรรย์เหนือธรรมชาติที่มาพร้อมกับการประกาศข่าวประเสริฐ ในยุคนี้เพราะเราเป็นพระกาย เพราะเราต่างมีพระคริสต์ในเรา ก็ยิ่งควรทำการอัศจรรย์เหนือธรรมชาติมากขึ้นอย่างที่พระคัมภีร์ได้บอกไว้ว่าเราจะทำ "เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ผู้ที่เชื่อในเราจะทำสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ เขาจะทำแม้กระทั่งสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก" (ยอห์น 14:12) เพื่อมาแสดงถึงว่าพระเยซูคือพระผู้ช่วยให้รอด คือผู้ทรงฤทธิ์ และคือองค์พระผู้เป็นเจ้า 

ในหนังสือกิจการบันทึกการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำผ่านชีวิตของอัครฑูตและสาวกโดยที่ไม่มีพระเยซูอยู่กับเขาเป็นตัวเป็นตน พวกเขาประกาศข่าวประเสริฐและทำการอัศจรรย์อย่างที่พระเยซูทำ สิ่งที่น่าทึ่งอย่างมากคือไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่งที่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ แต่กลายเป็นทั้งอัครฑูตและสาวกทุกคนทำได้หมด “ผู้ที่เชื่อจะมีหมายสำคัญดังนี้คือ เขาทั้งหลายจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาใหม่ๆ เขาจะจับงูด้วยมือเปล่า และเมื่อดื่มพิษร้ายเขาจะไม่เป็นอันตรายเลย เขาจะวางมือให้คนเจ็บคนป่วยและคนเหล่านั้นจะหายโรค” (มก 16:17,18) แม้คริสตจักรถูกข่มเหงและกระจัดกระจายไป สาวกทั้งหลายก็ยังประกาศข่าวประเสริฐในทุกหนทุกแห่งที่พวกเขาไปแม้อัครฑูตไม่ได้อยู่ด้วย การประกาศจึงเป็นวิถีชีวิตของพวกสาวกอย่างมาก “บรรดาผู้กระจัดกระจายไปนั้นก็เที่ยวประกาศพระวจนะในทุกแห่งหนที่พวกเขาไป” (กจ 8:4)


การทำการอัศจรรย์เหนือธรรมชาติที่มาพร้อมกับการประกาศข่าวประเสริฐจึงควรเป็นวิถีชีวิตของผู้เชื่อทุกคน เป็นสิทธิพิเศษที่พระเจ้าให้เราที่เป็นลูกได้ทำร่วมกับคุณพ่อในการให้ความรักของคุณพ่อออกไปเพื่อคนทั้งหลายจะได้รับชีวิตใหม่ ให้เราเชื่อและต้อนรับชีวิตใหม่นี้ แล้วใช้ชีวิตให้คนทั้งหลายได้ยินและมีประสบการณ์กับข่าวที่ประเสริฐจริงๆ ...


ไม่มีความคิดเห็น: