24 กันยายน 2559

: พันธสัญญาใหม่ vs การฟื้นฟู


หลายครั้งที่เราคริสเตียนมีโอกาสไปร่วมงานประชุมพิเศษที่เรียกกันว่า"งานฟื้นฟู"โดยหวังว่าจะเป็นเวลาที่จะมีประสบการณ์กับพระเจ้าหรืออาจเป็นเวลาที่จะเรียนรู้บางอย่างใหม่ๆเกี่ยวกับพระเจ้า สุดท้ายแล้วเพื่อให้กายใจและวิญญาณของเราได้"ฟื้นขึ้น" หรือเรียกว่ามีชีวิตชีวาขึ้นมา ซึ่งเชื่อว่าเป้าหมายสุดท้ายคือชีวิตที่เปลี่ยนแปลงให้เหมือนพระเยซูมากขึ้น แต่แล้วหลายครั้งหลังงานอาจแค่ไม่กี่ชั่วโมงความรู้สึกฟื้นขึ้นก็หายไป ทำให้บางทีก็พูดเล่นกันว่าพอฟูแล้วก็แฟบ บางครั้งก็เรียกว่ารั่ว หลายคนเลยเข้าใจว่าเขาต้องไปงานพิเศษอีกเพื่อจะให้ฟื้นขึ้นหลังจากแฟบลง ชีวิตคริสเตียนก็กลายเป็นอยู่ในวงจรฟูแฟบฟูแฟบ จากประสบการณ์เหล่านี้ก็เริ่มมีคำสอนว่าเราควรทำอย่างไรเพื่อที่ประสบการณ์ "ฟื้นฟู" นี้จะอยู่กับเราได้ยาวนานขึ้น ส่วนตัวเรียกคำสอนแบบนี้ว่า"วิธีที่เราจะต้อนรับและคงการทรงสถิต" ผู้เชื่อที่อยู่ในวงจรนี้ต่างมองหาทางที่จะพบพระเจ้ามากขึ้นเพื่อให้ชีวิตได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เหมือนพระเยซู 

คำถามคือการที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้เหมือนผู้สร้างเรานั้น เราซึ่งเป็นผู้ถูกสร้างควรมีส่วนแค่ไหนในกระบวนการนี้ และมีวิธีอื่นอีกไหมที่เราจะสามารถออกจากวงจรนี้ได้โดยที่ยังมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงเหมือนพระเยซูด้วย

ในยุคแห่งพันธสัญญาใหม่ที่เราอยู่ขณะนี้ เป็นยุคที่มีพระสัญญาแตกต่างจากพันธสัญญาเดิม ในเยเรมีย์ 31 ได้เปรียบเทียบสองพันธสัญญาไว้และได้ชี้ให้เห็นถึงจุดสำคัญที่แตกต่างกันมากที่สุด 2 ประการ
ประการแรก ในพันธสัญญาเดิมนั้นขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์ แต่พันธสัญญาใหม่ล้วนเป็นพระเจ้าที่กระทำในเราและเปลี่ยนชีวิตของเราจากภายในออกมา "...เราจะทำพันธสัญญาใหม่..." (31) "...เราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา...เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา..." (33) "...เราจะอภัยความชั่วร้ายของเขา และจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป..." (34) และจาก เอเสเคียล 36:26,27 "...เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้าและใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้าและให้เจ้ามีใจเนื้อ เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้าให้ปฏิบัติตาม..." ผู้ใดที่อยู่ในพันธสัญญาใหม่ก็มีแต่เชื่อยอมรับและไว้วางใจในพระเจ้าที่ซื่อสัตย์และมีความสามารถยิ่งใหญ่ที่จะทำให้พันธสัญญาใหม่เป็นจริงในเรา อย่างที่ใน กาลาเทีย 3 บอกไว้ว่าเราเริ่มด้วยความเชื่อ ก็ต่อด้วยความเชื่อ และจบด้วยความเชื่อ หรือใน เอเฟซัส 2:8,9 "...ได้รับความรอดโดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ...ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ..."

ประการที่สอง จาก 2 โครินธ์ 3 เน้นถึงพันธสัญญาใหม่ที่มีความยิ่งใหญ่กว่าพันธสัญญาเดิม โดยที่พันธสัญญาใหม่หรือ"พันธสัญญาแห่งพระวิญญาณ" ให้ชีวิตและเสรีภาพ ในขณะที่พันธสัญญาเดิมหรือ "พันธสัญญาแห่งบทบัญญัติ..” ประหารชีวิต (2 โครินธ์ 3:6) แม้ว่าพันธสัญญาแห่งบทบัญญัติจะมีรัศมีอย่างช่วงที่โมเสสลงมาจากเขาพร้อมด้วยใบหน้าเปล่งรัศมี แต่แล้วโมเสสก็ต้อง "...เอาผ้าคลุมหน้าเพื่อไม่ให้ชนอิสราเอลมองเห็นรัศมีที่กำลังจางหายไป" พันธสัญญาแห่งพระวิญญาณจึงยิ่งใหญ่กว่าเพราะนอกจากจะให้ชีวิตและเสรีภาพแล้ว พันธสัญญาแห่งพระวิญญาณยังมีรัศมีที่ไม่จางหายไปแต่"เพิ่มพูนขึ้น" (2 โครินธ์ 3:18) สิ่งที่เป็นข่าวดีคือด้วยรัศมีนี้ "เราทั้งหลายผู้ไม่มีผ้าคลุมหน้าล้วนใคร่ครวญพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า เรากำลังรับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระองค์ด้วยรัศมีที่เพิ่มพูนขึ้นทุกที อันเป็นรัศมีซึ่งมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ" 

ดังนั้นเราจึงไม่ต้องมองหาพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือรัศมีจากภายนอกของเรา ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมาเพื่อให้การ "ฟื้นฟู"คงอยู่ในเรา แต่เรากลับมีรัศมีนี้อยู่ในเราที่ไม่จางหาย มีแต่เพิ่มพูนขึ้น และเปลี่ยนแปลงเราผู้เชื่อให้เหมือนพระเยซู ผู้เชื่อทุกคนจึงไม่ต้องอยู่ในวงจรฟูแฟบ ทั้งหมดนี้เป็นจริง ก็เพราะการตายและการเป็นขึ้นของพระเยซูได้เริ่มยุคของพันธสัญญาใหม่ นี่คือข่าวดี!!!













ไม่มีความคิดเห็น: