22 สิงหาคม 2558

: ข่าวประเสริฐ

กาลาเทีย 1:6-7  "ข้าพเจ้าประหลาดใจที่ท่านทั้งหลายทิ้งพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านโดยพระคุณของพระคริสต์ไปอย่างรวดเร็ว และหันไปหาข่าวประเสริฐอื่น ซึ่งไม่ใช่ข่าวประเสริฐเลย เห็นได้ชัดว่าบางคนกำลังทำให้ท่านสับสนวุ่นวายและพยายามบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์ " จากพระคัมภีร์ตอนนี้เรารู้ว่าในเวลานั้นมีข่าวประเสริฐสองแบบ ซึ่งแบบหนึ่ง'ไม่ใช่ข่าวประเสริฐเลย' แต่เป็นข่าวที่ 'ทำให้ท่านสับสนวุ่นวายและพยายามบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์' และแย่ที่สุดคือการเชื่อข่าวนี้ก็เป็นการ 'ทิ้งพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านโดยพระคุณของพระคริสต์' จากนี้เราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเข้าใจว่าข่าวประเสริฐที่แท้เป็นอย่างไร แล้วข่าวนี้ประเสริฐอย่างไรสำหรับเราในแต่ละวันและในนิรันดร์กาล

กาลาเทีย 2:4,5 "แต่กระนั้นทิตัสซึ่งอยู่กับข้าพเจ้า แม้เขาจะเป็นกรีกก็ไม่ถูกบังคับให้เข้าสุหนัต เรื่องนี้ลุกลามขึ้นมาเพราะพี่น้องจอมปลอมบางคนที่แทรกซึมเข้ามาในหมู่เรา เพื่อสืบดูเสรีภาพที่เรามีในพระเยซูคริสต์และเพื่อจะทำให้เราเป็นทาส"  
ข่าวประเสริฐที่แท้จะให้เสรีภาพ ในบริบทนี้ข่าวประเสริฐช่วยให้เราที่เป็นชาวต่างชาติมีเสรีภาพจากการถือธรรมเนียมยิว และ 'ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อในพระคริสต์ ไม่ใช่โดยการทำตามบทบัญญัติ เพราะว่าไม่มีใครถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้โดยการทำตามบทบัญญัติเลย' เราจึงหลุดพ้นจากบทบัญญัติ และไม่ต้องทำตามธรรมเนียมยิวเลย

กาลาเทีย 2:19,20 "เพราะโดยทางบทบัญญัติข้าพเจ้าได้ตายต่อบทบัญญัติแล้ว เพื่อว่าจะได้มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักข้าพเจ้าและประทานพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า" ข่าวประเสริฐที่แท้นั้นคือผลกระทบที่มีต่อเราผู้เชื่อจากการตายและการเป็นขึ้นของพระคริสต์ จากพระคำข้อนี้ข่าวดีคือเราได้ตายต่อบัญญัติโดยการที่เราได้ร่วมตายกับพระคริสต์บนกางเขน ....
แล้วสิ่งที่ดีเลิศที่เกิดขึ้นหลังการตายก็คือพระคริสต์มีชีวิตอยู่ในเรา

กาลาเทีย3:1 "ชาวกาลาเทียผู้โง่เขลาเอ๋ย!..." ดูต่อจากข้อหนึ่งเปาโลก็ตั้งคำถามเพื่อให้ชาวกาลาเทียได้เห็นความจริงว่า ชีวิตใหม่ของพวกเขาแท้จริงก็เริ่มจากและต่อด้วยความเชื่อเพราะพระคุณ ไม่ใช่ด้วยการกระทำหรือการเชื่อฟังของเขาต่อบัญญัติ เป็นพระคุณล้วนๆ แม้สิ่งสำคัญที่พวกเขาได้คือได้รับพระวิญญาณนั้นก็ได้มาด้วยความเชื่อโดยพระคุณ เหมือนกับว่าเราได้บางอย่างมาจากผู้หนึ่งโดยไม่ต้องเสียหรือจ่ายอะไรออกไปเลย แต่แล้วอยู่ดีๆเราดันมาเข้าใจเองว่าเราต้องจ่ายหรือออกแรงเพื่อแลกในขณะที่เราได้ของมาแล้ว เปาโลพูดเลยว่าความเข้าใจที่เปลี่ยนไปอย่างนี้ มันโง่ ไม่ฉลาดหรือชอบธรรมเลย

กาลาเทีย 3:13 "พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ก็ถูกแช่งสาปแล้ว " จากตรงนี้ข่าวประเสริฐก็คือพระคุณที่มาถึงเราและพาเราหลุดจากบัญญัติหรือกรอบศาสนา....




: กลัว! .. พระเจ้า

ปฐมกาล 2:17 "....แต่เจ้าต้องไม่กินผลจากต้นแห่งการรู้ดีรู้ชั่ว เพราะถ้าเจ้ากินผลของมันเมื่อใด เจ้าจะตายแน่นอน"  

การล้มลงของมนุษย์ได้นำสิ่งต่างๆเข้ามาในทุกส่วนของมนุษย์ ซึ่งล้วนเป็นผลจากการครอบครองของมาร การนำตัวเองออกจากพระเจ้าเข้าสู่การพึ่งพาตนเอง หรือที่เราเรียกว่าศาสนา และเป็นผลของความบาปด้วย นอกเหนือจากผลกระทบต่อมนุษย์โดยตรง สิ่งเหล่านี้ได้กระทบอะไรอีกมั้ยในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า สิ่งแรกที่เราต้องตระหนักก็คือ สิ่งที่มนุษย์ทำไปนั้นไม่ได้เปลี่ยนพระเจ้าเลย พระเจ้ายังเป็นพระเจ้าเดิม คือพระเจ้าที่เต็มไปด้วยความรักและพระคุณ แต่สิ่งสำคัญที่เปลี่ยนไปคือความเข้าใจหรือมุมมองของมนุษย์ที่มีต่อพระเจ้า


ในปฐมกาล 3:10 เขาทูลว่า " ข้าพระองค์ได้ยินเสียงของพระองค์อยู่ในสวนก็กลัว เพราะข้าพระองค์เปลือยกายอยู่ จึงหลบซ่อนตัวเสีย" ผลจากการรู้ดีรู้ชั่วนั้น มุมมองของมนุษย์ที่มีต่อพระเจ้าได้เปลี่ยนไป และมุมมองนี้ได้กระทบไปถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ด้วย โคโลสี 1:21"ครั้งหนึ่งพวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้าและเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจเพราะพฤติการณ์ชั่วของท่าน" 

พระเจ้าที่มนุษย์มองเปลี่ยนไปนั้นก็ไม่แตกต่างจากพระอื่นๆที่มนุษย์กราบไหว้ พระเจ้ากลายเป็นพระเจ้าที่ดุ เต็มไปด้วยความโกรธโดยเฉพาะเวลาที่เราทำผิด เป็นพระเจ้าที่พร้อมจะลงโทษ และเป็นพระเจ้าที่เรียกร้องจากเราเสมอ ภายใต้ความเข้าใจนี้บวกกับความรู้ดีรู้ชั่ว มนุษย์จึงมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าอยู่บนความกลัวมาตลอด เป็นความสัมพันธ์ที่มนุษย์ต้องเอาใจพระเจ้าอยู่เสมอด้วยการเชื่อฟังและการถวาย เป็นความสัมพันธ์ที่รู้สึกถูกเรียกร้องอยู่เสมอ


ปฐมกาล 5:1-3 "นี่คือบันทึกเรื่องราวเชื้อสายของอาดัม เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงสร้างเขาตามอย่างพระองค์ พระองค์ทรงสร้างพวกเขาทั้งผู้ชายและผู้หญิง แล้วทรงอวยพรเขา และตรัสเรียกเขาว่า 'มนุษย์' เมื่ออาดัม อายุได้ 130 ปีก็มีบุตรชายซึ่งเหมือนอย่างเขา ตามลักษณะของเขา เขาตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเสท"  

จากการเลือกพึ่งพาตัวเอง มนุษย์ก็ได้เอาตัวเองออกจากแหล่งแห่งชีวิต มนุษย์ร่วงหล่นจากพระสิริ มนุษย์เริ่มเปลี่ยนจากอย่างพระเจ้ามาเป็นอย่างของตัวเอง ความตายได้เริ่มเข้ามาอย่างที่พระเจ้าเตือนไว้ ความมีชีวิตชีวาที่เคยมีในตัวตนของมนุษย์ก็ตายไป โรม 6:23 "เพราะว่าค่าตอบแทนที่ได้จากบาปคือความตาย แต่ของขวัญจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา" การล้มลงของมนุษย์ได้นำทั้งความบาปและความตายเข้ามา ทั้งสองสิ่งนี้ได้แยกมนุษย์ออกจากพระเจ้า แต่ไม่ได้แยกพระเจ้าออกจากมนุษย์ เราจึงเห็นพระเจ้าไม่หยุดยั้งในการผูกพันกับมนุษย์และทำงานมาตลอดเพื่อช่วยกู้มนุษย์ให้กลับมาคืนดีกับพระเจ้า โดยการมีมุมมองที่ถูกต้องต่อพระเจ้ากลับคืนมา ได้รับการช่วยกู้จากการครอบครองของมารเพื่อกลับมาสู่การครอบครองของพระเจ้า และได้มีชีวิตอีกครั้งในพระเจ้า ผ่านการตายและเป็นขึ้นของพระเยซูที่ทำลายทั้งศัตรูและงานของมาร 

1โครินธ์ 15:26 "ศัตรูตัวสุดท้ายที่ต้องทรงทำลายคือความตาย"    ......


  

10 สิงหาคม 2558

: ลืมอดีต .. จริงหรือ?

"พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าตนเองฉวยสิ่งนี้มาได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านมาและโน้มตัวไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า" จากฟีลิปปี 3:13  นี่เป็นข้อพระคัมภีร์ที่เพื่อนคนหนึ่งได้ถามว่าพระคำข้อนี้บอกให้เราลืมอดีต อย่าจดจ่อกับมันแต่ให้เราลุยไปข้างหน้าอย่างเดียวหรือ เนื่องจากพระคำข้อนี้ถูกอ้างอิงเสมอเมื่อหวังให้คนหยุดโศกเศร้าและลืมสิ่งที่ได้เกิดขึ้นและให้เริ่มเดินไปข้างหน้าเสียที  

โดยหลักการของพระเจ้าเราเข้าใจว่าถ้าเราได้สูญเสียอะไรที่มีค่า เราย่อมต้องโศกเศร้าระยะหนึ่งดังที่พระเจ้าเคยพูดกับซามูเอลใน 1ซามูเอล 16:1ว่า "...เจ้าจะคร่ำครวญเรื่องที่เราถอดซาอูลออกจากตำแหน่งกษัตริย์อิสราเอลไปอีกนานเท่าใด" พระเจ้าไม่ได้ให้เราลืมอดีต ที่จริงแล้วการโศกเศร้าถือเป็นส่วนหนึ่งของการเยียวยา และเรายังควรสำรวจด้วยว่าปัจจุบันของเรายังมีผลกระทบมาจากอดีตอย่างไรบ้าง แล้วให้เราจัดการกับผลกระทบเหล่านั้นเสียเพื่อเราจะได้เดินต่อไปข้างหน้าอย่างมีเสรีภาพ

ฉะนั้น ให้เรามาดูบริบทของฟีลิปปี 3 ก่อนเพื่อจะเข้าใจข้อ13 ได้อย่างเหมาะสม ตั้งแต่ข้อหนึ่งลงมา เราได้เห็นเปาโลท้าท้ายคนที่"มั่นใจในเนื้อหนังร่างกาย" จนบอกว่าคนเหล่านี้เป็น "...พวกสุนัข ...พวกคนทำชั่ว ..." เป็นคำที่แรงแต่ก็บ่งบอกถึงความเลวร้ายของความเชื่อแบบนี้ ความเชื่อที่"มั่นใจในเนื้อหนังร่างกาย"ในที่นี้พูดถึงพวกที่เชื่อในการที่ร่างกายถูกทรมานอย่างที่พระคัมภีร์เรียก"พวกเชือดเนื้อเถือหนัง" พวกนั้นเชื่อว่าการกระทำของเขาจะทำให้พวกเขาเป็นคนชอบธรรมได้ อย่างที่เรารู้ว่าเปาโลเรียกคนที่สอนความเชื่อแบบนี้ว่าเป็น"สุนัข"และ"คนทำชั่ว" เปาโลได้ขยายความชั่วนี้รวมไปถึงการ"มั่นใจในเนื้อหนังร่างกาย" ที่เปาโลเคยมั่นใจและถือเป็นกำไร นั่นก็คือในอดีตเขาเคยยึดสิ่งเหล่านี้เพื่อให้ความชอบธรรมกับตัวเอง เช่น การทำตามประเพณี การมีชาติตระกูล ตำแหน่ง ความเคร่งศาสนา เป็นต้น ฉะนั้นคำว่า 'เนื้อหนัง' จึงมีความหมายถึงท่าที กรอบความคิดและความเชื่อที่ว่าเราจะเป็นคนชอบธรรมได้โดยการพึ่งพาในสิ่งที่เรามีกับสิ่งที่เราทำ  ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากการล้มลงของอาดัมคนแรกที่เลือกที่จะพึ่งตัวเองเพื่อได้เป็นคนชอบธรรม

เปาโลได้ประกาศอย่างชัดมากใน ฟิลิปปี 3:9 "...ตัวข้าพเจ้าเองไม่มีความชอบธรรมที่ได้มาโดยบทบัญญัติ มีแต่ความชอบธรรมที่ได้มาโดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้าและได้มาโดยความเชื่อ" จากที่ได้เป็นคนชอบธรรม สิ่งที่มีค่าที่สุดที่เปาโลมองหาก็คือ "รู้จักพระคริสต์และมีประสบการณ์ในฤทธิ์อำนาจแห่งการคืนพระชนม์ของพระองค์และร่วมสามัคคีธรรมในการทนทุกข์ของพระองค์ เป็นเหมือนพระองค์ในการสิ้นพระชนม์.." เปาโลบอกต่อในข้อ 12 ว่า "ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าได้ทั้งหมดนี้แล้วหรือได้รับการปรับปรุงให้เป็นคนดีพร้อมแล้ว แต่ข้าพเจ้ารุดหน้าไปเพื่อฉวยเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงตั้งไว้สำหรับข้าพเจ้าเมื่อทรงฉวยข้าพเจ้ามาเป็นของพระองค์" เปาโลก็ยังยืนยันว่าท้ังหมดเป็นพระเจ้าที่ได้ฉวยเขาไว้ ไม่ใช่เป็นผลที่มาจากการกระทำของเปาโลเอง สำหรับเปาโลเขาไม่มีอะไรที่เขาอวดได้ในความเป็นคนชอบธรรมด้วยตัวของเขาเอง ในความชอบธรรมนั้นเปาโลรู้ว่าเขาเป็นของพระองค์ แล้วในพระองค์นั้นเปาโลรู้ว่ายังมีอีกเยอะที่เขาจะได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ เพราะฉะนั้นในบริบทถึงข้อ 13 "....คือลืมสิ่งที่ผ่านมาและโน้มตัวไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า" สิ่งที่ผ่านมานั้นจึงหมายถึงกรอบความคิดและความเชื่อที่เปาโลเคยมี คือกรอบความคิดในการพึ่งตัวเองเพื่อให้ได้มาซี่งความชอบธรรม ไม่ได้หมายถึงความเจ็บปวดหรือเหตุการณ์เลวร้ายในอดีตใดๆทั้งสิ้น ขอเป็นกำลังใจให้เรามีความเชื่อเหมือนเปาโลที่หยุดพึ่งตัวเองเพื่อได้มาซึ่งความชอบธรรม สิ่งสำคัญคือให้เราเชื่อในพระคุณ เพราะความเชื่อแบบเก่าของเปาโลนั้นถือเป็น (ข้อ18)"ศัตรูต่อไม้กางเขนของพระคริสต์" ก็คือการปฏิเสธการงานของพระเยซูบนไม้กางเขน


สุดท้ายขอเป็นกำลังใจให้เรามีท่าทีในความเชื่อเหมือนนักวิ่งที่ "รุดหน้าไปสู่หลักชัยเพื่อคว้ารางวัล” (ความชอบธรรมโดยความเชื่อในพระคริสต์เพื่อรู้จักพระคริสต์)โดยไม่สนสิ่งที่อยู่ข้างหลัง (ความชอบธรรมโดยตัวเอง)