10 สิงหาคม 2558

: ลืมอดีต .. จริงหรือ?

"พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าตนเองฉวยสิ่งนี้มาได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านมาและโน้มตัวไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า" จากฟีลิปปี 3:13  นี่เป็นข้อพระคัมภีร์ที่เพื่อนคนหนึ่งได้ถามว่าพระคำข้อนี้บอกให้เราลืมอดีต อย่าจดจ่อกับมันแต่ให้เราลุยไปข้างหน้าอย่างเดียวหรือ เนื่องจากพระคำข้อนี้ถูกอ้างอิงเสมอเมื่อหวังให้คนหยุดโศกเศร้าและลืมสิ่งที่ได้เกิดขึ้นและให้เริ่มเดินไปข้างหน้าเสียที  

โดยหลักการของพระเจ้าเราเข้าใจว่าถ้าเราได้สูญเสียอะไรที่มีค่า เราย่อมต้องโศกเศร้าระยะหนึ่งดังที่พระเจ้าเคยพูดกับซามูเอลใน 1ซามูเอล 16:1ว่า "...เจ้าจะคร่ำครวญเรื่องที่เราถอดซาอูลออกจากตำแหน่งกษัตริย์อิสราเอลไปอีกนานเท่าใด" พระเจ้าไม่ได้ให้เราลืมอดีต ที่จริงแล้วการโศกเศร้าถือเป็นส่วนหนึ่งของการเยียวยา และเรายังควรสำรวจด้วยว่าปัจจุบันของเรายังมีผลกระทบมาจากอดีตอย่างไรบ้าง แล้วให้เราจัดการกับผลกระทบเหล่านั้นเสียเพื่อเราจะได้เดินต่อไปข้างหน้าอย่างมีเสรีภาพ

ฉะนั้น ให้เรามาดูบริบทของฟีลิปปี 3 ก่อนเพื่อจะเข้าใจข้อ13 ได้อย่างเหมาะสม ตั้งแต่ข้อหนึ่งลงมา เราได้เห็นเปาโลท้าท้ายคนที่"มั่นใจในเนื้อหนังร่างกาย" จนบอกว่าคนเหล่านี้เป็น "...พวกสุนัข ...พวกคนทำชั่ว ..." เป็นคำที่แรงแต่ก็บ่งบอกถึงความเลวร้ายของความเชื่อแบบนี้ ความเชื่อที่"มั่นใจในเนื้อหนังร่างกาย"ในที่นี้พูดถึงพวกที่เชื่อในการที่ร่างกายถูกทรมานอย่างที่พระคัมภีร์เรียก"พวกเชือดเนื้อเถือหนัง" พวกนั้นเชื่อว่าการกระทำของเขาจะทำให้พวกเขาเป็นคนชอบธรรมได้ อย่างที่เรารู้ว่าเปาโลเรียกคนที่สอนความเชื่อแบบนี้ว่าเป็น"สุนัข"และ"คนทำชั่ว" เปาโลได้ขยายความชั่วนี้รวมไปถึงการ"มั่นใจในเนื้อหนังร่างกาย" ที่เปาโลเคยมั่นใจและถือเป็นกำไร นั่นก็คือในอดีตเขาเคยยึดสิ่งเหล่านี้เพื่อให้ความชอบธรรมกับตัวเอง เช่น การทำตามประเพณี การมีชาติตระกูล ตำแหน่ง ความเคร่งศาสนา เป็นต้น ฉะนั้นคำว่า 'เนื้อหนัง' จึงมีความหมายถึงท่าที กรอบความคิดและความเชื่อที่ว่าเราจะเป็นคนชอบธรรมได้โดยการพึ่งพาในสิ่งที่เรามีกับสิ่งที่เราทำ  ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากการล้มลงของอาดัมคนแรกที่เลือกที่จะพึ่งตัวเองเพื่อได้เป็นคนชอบธรรม

เปาโลได้ประกาศอย่างชัดมากใน ฟิลิปปี 3:9 "...ตัวข้าพเจ้าเองไม่มีความชอบธรรมที่ได้มาโดยบทบัญญัติ มีแต่ความชอบธรรมที่ได้มาโดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้าและได้มาโดยความเชื่อ" จากที่ได้เป็นคนชอบธรรม สิ่งที่มีค่าที่สุดที่เปาโลมองหาก็คือ "รู้จักพระคริสต์และมีประสบการณ์ในฤทธิ์อำนาจแห่งการคืนพระชนม์ของพระองค์และร่วมสามัคคีธรรมในการทนทุกข์ของพระองค์ เป็นเหมือนพระองค์ในการสิ้นพระชนม์.." เปาโลบอกต่อในข้อ 12 ว่า "ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าได้ทั้งหมดนี้แล้วหรือได้รับการปรับปรุงให้เป็นคนดีพร้อมแล้ว แต่ข้าพเจ้ารุดหน้าไปเพื่อฉวยเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงตั้งไว้สำหรับข้าพเจ้าเมื่อทรงฉวยข้าพเจ้ามาเป็นของพระองค์" เปาโลก็ยังยืนยันว่าท้ังหมดเป็นพระเจ้าที่ได้ฉวยเขาไว้ ไม่ใช่เป็นผลที่มาจากการกระทำของเปาโลเอง สำหรับเปาโลเขาไม่มีอะไรที่เขาอวดได้ในความเป็นคนชอบธรรมด้วยตัวของเขาเอง ในความชอบธรรมนั้นเปาโลรู้ว่าเขาเป็นของพระองค์ แล้วในพระองค์นั้นเปาโลรู้ว่ายังมีอีกเยอะที่เขาจะได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ เพราะฉะนั้นในบริบทถึงข้อ 13 "....คือลืมสิ่งที่ผ่านมาและโน้มตัวไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า" สิ่งที่ผ่านมานั้นจึงหมายถึงกรอบความคิดและความเชื่อที่เปาโลเคยมี คือกรอบความคิดในการพึ่งตัวเองเพื่อให้ได้มาซี่งความชอบธรรม ไม่ได้หมายถึงความเจ็บปวดหรือเหตุการณ์เลวร้ายในอดีตใดๆทั้งสิ้น ขอเป็นกำลังใจให้เรามีความเชื่อเหมือนเปาโลที่หยุดพึ่งตัวเองเพื่อได้มาซึ่งความชอบธรรม สิ่งสำคัญคือให้เราเชื่อในพระคุณ เพราะความเชื่อแบบเก่าของเปาโลนั้นถือเป็น (ข้อ18)"ศัตรูต่อไม้กางเขนของพระคริสต์" ก็คือการปฏิเสธการงานของพระเยซูบนไม้กางเขน


สุดท้ายขอเป็นกำลังใจให้เรามีท่าทีในความเชื่อเหมือนนักวิ่งที่ "รุดหน้าไปสู่หลักชัยเพื่อคว้ารางวัล” (ความชอบธรรมโดยความเชื่อในพระคริสต์เพื่อรู้จักพระคริสต์)โดยไม่สนสิ่งที่อยู่ข้างหลัง (ความชอบธรรมโดยตัวเอง)

ไม่มีความคิดเห็น: