3 มกราคม 2559

ตัวตนเราสำคัญ EP. 4


ก่อนที่จะมาดูการล่อลวงที่พระเยซูต้องเผชิญ ให้เรามาทำความเข้าใจถึงสภาพของพระเยซูในเวลาที่ถูกล่อลวง ในพระคัมภีร์ไม่ได้มีคำบรรยายเกี่ยวกับสภาพของพระเยซู แต่มีข้อมูลที่ว่าเป็นการเดินทางในถิ่นทุรกันดาร นั่นหมายถึงความแห้งแล้ง ความยากลำบาก ความโดดเดี่ยว ความขัดสน บวกกับการอดอาหารมา 40 วันหรือระยะเวลายาวระยะหนึ่งที่เพิ่มความต้องการทางกายที่หิวโหยและทางจิตใจที่เหนื่อยล้าในพระเยซู  

ดูเหมือนว่าวิธีการล่อลวงที่เกิดขึ้นกับอาดัมคนที่หนึ่งในปฐมกาลกับอาดัมคนที่สองหรือพระเยซูแมัจะแตกต่างกันในรายละเอียดหลายเช่น บุคคล เวลา สถานที่ เป็นต้น แต่สิ่งสำคัญที่เหมือนกันคือเป็าหมายของการล่อลวง นั่นคือการแย่งชิงการครอบครองโดยมีตัวตนของมนุษย์เป็นเดิมพัน ส่วนวิธีการล่อลวงก็คล้ายๆกันก็คือการพูดให้มนุษย์ปฏิเสธความจริงจากพระเจ้า(ที่บอกว่าเราดีแล้ว) และหลอกว่าตัวตนของเรายังไม่ดีพอ เราไร้ค่าเพราะมีจุดอ่อนหรือความต้องการต่างๆ แล้วให้หันมาพี่งตัวเองในการตอบสนองความต้องการนั้นๆ เชื่อว่าเพื่อสุดท้ายจะได้มาซึ่งตัวตนที่ดีขึ้นกว่าเดิม
การล่อลวงครั้งแรกของพระเยซู
มัทธิว 4: 2-4 
2 หลังจากอดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืนแล้ว พระเยซูทรงหิว 3 มารผู้ทดลองได้มาหาพระองค์และทูลว่า " ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง "
4 พระเยซูตรัสตอบว่า " มีคำเขียนไว้ว่า ' มนุษย์ไม่อาจดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวแต่ดำรงชีวิตด้วยทุกถ้อยคำจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า '

"ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า" ข้อนี้ชี้ถึงเป็าหมายในการล่อลวงคือให้พระเยซูปฏิเสธตัวตนที่แท้จริงที่พระเจ้าให้มา หันไปเชื่อฟังมาร ซึ่งก็กลับไปเหมือนตอนปฐมกาลที่ถูกล่อให้เชื่อฟังมาร เพื่อจะได้มาซึ่งตัวตนที่ดีโดยผ่านการกระทำ แต่ครั้งนี้มารล่อด้วยการใช้สิ่งที่เรารู้สึกว่าขาดไม่ได้ในการดำรงชีวิต พระเยซูเผชิญด้วยการเชื่อความจริงเสมอแม้อยู่ในสภาวะที่มีความต้องการมากมาย ความต้องการกับอารมณ์ในเวลานั้นก็ไม่อาจลบหรือเปลี่ยนความจริงที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ ความจริงก็คือในชีวิตเราทุกคนล้วนมีหลายสิ่งที่สำคัญในการดำรงชีวิตตามความต้องการจากร่างกายใจและวิญญาณของเรา (เว้นแต่อากาศที่เราต้องการทุกเวลา) แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่เราขาดแล้วจะทำให้เราตายได้แม้กระทั่งการขาดอาหาร ในสถานการณ์นี้จากคำตอบของพระเยซู เรารู้ได้เลยว่านอกเหนือจากสิ่งทั้งหลายที่ตอบสนองความต้องการของเราแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยก็คือพระคำของพระเจ้าที่ช่วยดำรงชีวิตของเราไว้ 

ถ้าพระเยซูตกหลุมมาร พระเยซูก็เอาตัวเองมาอยู่ภายใต้มาร และปล่อยให้ตัวเองเชื่อคำโกหกว่ามีบางสิ่งในชีวิตที่เราขาดไม่ได้(ในกรณีนี้คืออาหาร) การล้มลงต่อการล่อลวงของมารจะเหมือนกับอาดัมคนแรกอีก ถ้าเป็นเช่นนั้นพระเยซูก็จะไม่เหมาะที่จะเป็นตัวแทนมนุษย์ไปที่ไม้กางเขน ดังนั้นความต้องการนั้นจึงเป็นตัวกำหนดตัวตนของเรา เราก็จะพยายามทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา และทำทุกอย่างเพื่อจะไม่ต้องสูญเสียมันไป ชีวิตและตัวตนของเราจึงมาอิงอยู่กับสิ่งนั้น แทนที่จะไว้วางใจในพระเจ้า

หลายครั้งในชีวิตเราจะได้ยินคนพูดกันว่า 'ทำเพื่ออยู่รอด' เราต่างต้องทำเพื่อให้ได้หลายสิ่งหลายอย่างมาที่เราเชื่อว่าเราต้องมีก่อนเราจึงจะอยู่รอดได้ เพราะความเชื่อนี้เราจึงมีวิถีชีวิตและนิสัยที่เปลี่ยนไป หรือ บางครั้งเราได้ยินตำพูดว่า 'ชีวิตนี้ฉันขาดเธอไม่ได้' ความเชื่อแบบนี้ทำให้เราต้องทำและเป็นทุกอย่างตลอดชีวิตเพื่อไม่ให้อีกคนหนึ่งจากเราไป ความสัมพันธ์เช่นนี้อาจเริ่มด้วยความรักและความห่วงใยแต่สุดท้ายก็กลายเป็นความสัมพันธ์ที่ผูดมัดไร้เสรีภาพไปเลย

ให้เราต่างเป็นกำลังใจกันและกันที่จะเชื่อว่าพระคำที่ว่า ' มนุษย์ไม่อาจดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวแต่ดำรงชีวิตด้วยทุกถ้อยคำจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า ' เป็นความจริงที่ไม่ขึ้นกับความรู้สึกและอารมณ์ของเรา และเป็นความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแม้สภาวะรอบๆตัวเราจะเปลี่ยนไป


1 ความคิดเห็น:

amenenduroblog กล่าวว่า...

พระคำพระเจ้าคือความจริง
นั่นคือสิ่งสะท้อนภาพ "ตัวตน"
มารสลับกลับกลอกฉ้อฉล
ระลึกตนพระเจ้าสร้างเราไว้ดี